ผู้ป่วยไวรัสโคโรนา2019 ยังคงมี 14 ราย รักษาหายเพิ่มกลับบ้านแล้วอีก 1 ราย รวมเป็น 6 ราย เผยขยายคัดกรองในคนไทย มีเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค เป็นคนขับแท็กซี่ 2 ราย รอผลตรวจแล็บในอีก 1-2 วัน ย้ำสวมหน้ากากอนามัย คนปกติสวมหน้ากากผ้า คนป่วยสวมหน้ากากทางการแพทย์
วันนี้ (30 ม.ค.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ขณะนี้ยังยืนยันว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยเชื้อดังกล่าว 14 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากภายนอกประเทศทั้งหมด ยังไม่มีการระบาดภายในประเทศ และที่น่ายืนดี คือ ผู้ป่วยรักษาหายและกลับได้แล้วเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 6 คน เป็นคนจีน 5 คน คนไทย 1 คน เหลือรักษาตัวอยู่อีก 8 คน ไม่มีรายใดอาการรุนแรงและอาการดีขึ้น สำหรับการคัดกรองที่ขยายเพิ่มเป็นผู้ที่มาจากประเทศจีนทุกเที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 24-29 ม.ค. 2563 คัดกรองแล้ว 92 เที่ยวบิน ผู้โดยสารและลูกเรือ 6,953 คน โดยการปฏิบัติงานภายในสนามบินมีผู้ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีกำลังจากหน่วยงานต่าง เช่น สาธารณสุขในพื้นที่ และหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมดำเนินการ
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคสะสมจนถึงตอนนี้มี 202 คน อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 67 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 135 ราย โดยในวันที่ 29 ม.ค. 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่ 44 ราย อย่างไรก็ตาม หลังจากขยายการคัดกรองมายังคนไทยที่สัมผัสใกล้ชิดคนจีน ก็มีคนไทยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคด้วย ซึ่งมีหลายอาชีพ เช่น คนขับแท็กซี่ จำนวน 2 ราย ที่มีประวัติรับนักท่องเที่ยวจีน เข้าสู้ระบบการเฝ้าระวังเมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจหาเชื้อที่ห้องแล็บ 2 แห่ง คาดว่าจะทราบผลภายใน 1-2 วันนี้ แต่เบื้องต้นไม่มีอาการอะไรน่ากังวล อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีแนวโน้มว่าความรุนแรงลดลง ปัจจุบันพบผู้ป่วยใน 17 ประเทศ มีเพียงประเทศจีนเท่านั้นที่มีผู้เสียชีวิต ส่วนประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยยังไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดในอนาคต โดยเน้นวางระบบการเฝ้าระวัง จากปัจจุบันที่ทำที่สนามบินเป็นหลัก เพิ่มมาเป็นโรงพยาบาล และขยายเข้าไปในชุมชน โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทุกจังหวัดเพื่อระดมกำลังเตรียมความพร้อมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเดิมเราเน้นพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว ก็ให้ดำเนินการทุกจังหวัด ถ้าเกิดอะไรขึ้นในอนาคตจะได้ไม่ฉุกละหุก นอกจากนี้ ยังให้คำแนะนำแก่โรงแรม บริษัททัวร์ คนขับรถสาธารณะ ใหากพบว่ามีอาการก็ให้ติดต่อเข้ามายัง 1422 เพื่อวินิจฉัยรักษาต่อว่าเป็นโรคอะไร รวมถึงแนะนำการทำความสะอาดหากกังวลเรื่องน้ำมูกน้ำลายจากผู้โดยสาร โดยใช้แอลกอฮอล์ 70% ก็สามารถฆ่าเชื้อได้
นพ.โสภณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากประชาชนให้สวมหน้ากาก โดยคนที่ไม่ป่วยขอให้ใช้หน้ากากผ้าทำเองเพื่อป้องกันและลดขยะ ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยให้สวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์โดยให้นำด้านที่เป็นสีเขียวออกข้างนอก นำสีขาวที่มีความอ่อนนุ่มไว้ด้านใน ซึ่งจะซึมซับน้ำมูกน้ำลายได้ดี ส่วนหน้ากากอนามัยชนิด N95 เป็นหน้ากากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสโรค หากทุกคนหันมาใช้ระดับนี้กันหมดก็จะทำให้ขาดแคลนได้
เมื่อถามถึงผลการตรวจสอบกรณีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตปริศนาที่จังหวัดเชียงใหม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการชันสูตร แต่ข้อสังเกตคือโรคระบาดไม่ได้ทำให้เสียชีวิตแบบเฉียบพลัน