ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาพอจะรู้อยู่ว่าลูกชายทั้งสองคน ณ เซี่ยงไฮ้ มีกิจกรรมของมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเจ้าลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” ซึ่งเป็นพวกทุ่มเทหมดหน้าตัก และได้รับหน้าที่ที่ต้องแบกความรับผิดชอบไว้ด้วย ทำให้ต้องซุ่มซ้อมอย่างหนักและบริหารจัดการชีวิตตัวเอง โดยไม่ให้กระทบกับการเรียนที่ต้องเรียนหนักขึ้นอีกต่างหาก บทความชิ้นนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในช่วงจังหวะชีวิตของเขาที่เขาบอกว่า “ชีวิตในช่วงขาขึ้น”
……………………
เวลาผ่านไปเร็วพอควร เดือนสุดท้ายของปี 2019 มาถึงอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว ลมหนาวพัดกลับมาที่เซี่ยงไฮ้อย่างกะทันหันอีกครั้งเช่นเดียวกับทุกปี...
ที่แตกต่างออกไปในปีนี้คือการที่ผมได้รับข่าวสารมากมายจากเพื่อน ๆ สมัยมัธยมที่ขณะนี้ใกล้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีกันหมดแล้ว ต่างจากผมที่ยังศึกษาอยู่แค่ปี 2 เท่านั้น...
ขณะที่เพื่อน ๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกงานและเรียนให้จบการศึกษานั้น ผมที่ไปใช้ชีวิตอยู่เซี่ยงไฮ้ก็กำลังมีชีวิตที่อุดมไปด้วยสีสันและพลังงานเสียเหลือเกิน เป็นสีสันและพลังงานที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ การเพิ่มพูนความรู้ ฝีมือ ผลงาน ประสบการณ์ และมิตรภาพ
ผมได้นำตัวเองไปอยู่ท่ามกลางบุคคลที่เปี่ยมคุณภาพและพลังงานบวกจากแทบทั่วทุกมุมโลกทำให้นอกจากจะเกิดการแลกเปลี่ยนสิ่งดี ๆ ยังเกิดเป็นการแข่งขันที่เป็นการแข่งกันพัฒนาตัวเอง
จากที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ ผู้อ่านทุกท่านคงจะพอรู้ได้แล้วว่าทำไมผมถึงตั้งชื่อบทความนี้ว่า "ชีวิตในช่วงขาขึ้น"
ผมเชื่อว่าช่วงขาขึ้นนั้นเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลก โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวเยาว์วัยที่แบกความฝันมากมายเอาไว้ในหัวใจ และตามไล่มันอย่างทะเยอทะยาน
ตัวผมนั้นก็ไม่ต่างกัน
แทบจะตลอดทั้งปีนี้ ชีวิตผมอยู่แต่ในช่วงขาขึ้น ผมได้ทำสิ่งใหม่ ๆ อาทิ การเป็นพิธีกร ผมได้รับหน้าที่นี้ครั้งแรกในตอนต้นปี และได้รับโอกาสจากคุณแม่ในการฝึกฝนเป็นพิธีกรบนเวทีงานประกวดเล่านิทานตั้งแต่รอบคัดเลือกในทุกภูมิภาค จนถึงรอบชิงชนะเลิศที่มีสื่อมวลชนมากมาย ทำให้มือใหม่อย่างผมคุ้นชินกับการขึ้นเวทีอย่างรวดเร็ว และพร้อมรับงานพิธีกรในทุกครั้งที่มีโอกาส
นอกจากนั้น ในปีนี้ผมได้มีโอกาสรับหน้าที่รับผิดชอบกลุ่มคนไทยในมหาวิทยาลัย ECNU ( East China Normal University) ในการเข้าร่วมงาน Culture Festival "Mini Expo" ทั้งการทำบู้ท และการจัดการแสดง
ผมได้ทดลองขายอาหารไทยในบู้ทเป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยทำกันมาก่อน เพราะความยุ่งยากวุ่นวายในการตระเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ แต่โชคดีที่ปีนี้ผู้ร่วมรับผิดชอบอีกคนหนึ่งสามารถหาสปอนเซอร์วัตถุดิบมาได้จึงทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ผลตอบรับของการขายอาหารครั้งนี้นับว่าน่าพึงพอใจ ที่สำคัญคือทำกำไรได้อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ส่วนในด้านของการแสดงนั้น ผมก็เข้าไปรับบทแสดงเอง โดยได้นำเอาวิชาความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ที่เคยศึกษาและฝึกฝนมาทำเป็นโชว์การต่อสู้ด้วยศิลปะมวยไทยและฟันดาบร่วมกับน้องชายของผมและเพื่อน ๆ อีกรวม 6 คน โดยมีผมเป็นคนคิดและกำกับคิวแอคชั่น
เรียกได้ว่าใช้ร่างกายและสมองไปกับการจัดงานนี้เป็นอย่างมาก แต่ผลตอบรับก็เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะไม่มีใครคิดว่าจะมีโชว์ไหนแสดงได้อย่างสุดเหวี่ยงเช่นนี้ ผมออกจะสะใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นคนดูโดยเฉพาะเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติอ้าปากค้างด้วยความตกใจกับไอเดียโชว์ที่เป็นการขึ้นมาประลองมวยแบบซัดกันถึงเนื้อถึงตัว เล่นจริงเจ็บจริงเหมือนโชว์แนว Stunt Show
ต่อมาไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังจากนั้นก็มีงาน Culture Festival "Gala Show" ซึ่งตามเทคนิคแล้วคืองานเดียวกันกับ Culture Festival "Talent Show" ที่ทีมคนไทยสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์มาครองไว้ได้ 2 สมัยติดต่อกัน เป็นงานเดียวกับงานที่ผมเข้าประกวดเต้นโชว์ครั้งแรกในชีวิตเมื่อปีที่แล้ว
ผ่านมา 1 ปีเต็มจากครั้งแรกที่ขึ้นเวทีทำโชว์ครั้งแรก จนถึงตอนนี้ ผมได้ขึ้นเวทีอีกหลายครั้ง จากคนที่เคยตื่นเต้นจนตัวสั่นเมื่อก้าวขึ้นเวที กลายเป็นคนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
จำได้ว่าครั้งที่ขึ้นไปเต้นบนเวทีครั้งแรกตอนนั้น สิ่งที่คิดอยู่ในสมองคือ...
“เราจะทำท่าผิดไหมนะ ท่าต่อคือท่าอะไรนะ ใกล้จะจบหรือยังนะ...ตื่นเต้นจังเลยนะ..."
แต่ครั้งล่าสุดที่ได้เข้าร่วมกับทีมเต้นเปิดงาน เป็นทีมนานาชาติ ผมเต้นร่วมกับคนต่างชาติมากมาย และได้รับเกียรติให้รับบทเป็น "บรู๊ซ ลี" ตำนานนักสู้และนักแสดงที่คนชอบศิลปะการต่อสู้อย่างผมยกย่องให้เป็นนักสู้ที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
ผมจำท่าต่อสู้ของบรู๊ซ ลีจากหนังที่เขาแสดงมากมายมาประยุกต์ใช้กับการแสดงหนนี้ ฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านั้นทุกวันจนช่ำชอง และสิ่งที่คิดอยู่ในหัวตอนอยู่บนเวทีนั้นมีเพียง...
“ผู้ชมทุกคน จงจับตาดูการแสดงนี้ให้ดีนะ...”
นั่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เลยที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาว่าจากปีที่แล้วจนถึงปีนี้ Mindset ของผม ทั้งด้านของจิตใจ ความคิด และความมั่นใจของตัวเอง พัฒนาขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจ และทำให้แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะขึ้นโชว์อีก 2 เวทีในงานเลี้ยงประจำมหาวิทยาลัยของคณะที่ผมศึกษาอยู่ในวันที่ 20ธันวาคมนี้ และตั้งหน้าตั้งตารอทำโชว์ของตัวเองขึ้นมาจริง ๆ ในฤดูกาลต่อ ๆ ไป
นอกเหนือจากการประสบความสำเร็จในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เข้าร่วม เรื่องการเรียนก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทิ้งได้สำหรับการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ผมยังคงรักษาพัฒนาการด้านภาษาและคะแนนสอบได้ในระดับที่ตัวเองก็พึงพอใจ
ก็พอจะมี “ท็อปห้อง” อยู่บ้างอะนะ...
เพราะเคยมีบทเรียนในเทอมก่อนที่เข้าร่วมกิจกรรมมากเสียจนการเรียนตกลง การใช้ร่างกายอย่างหนักทำให้เหนื่อยล้า สูญเสียสมาธิกับหลายกิจกรรมที่เข้าร่วม สุดท้ายก็หยิบจับอะไรเป็นชิ้นอันไม่ได้นัก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นช่วงชีวิตขาลงของผมครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี หากไม่มีบทเรียนจากเทอมก่อน ตัวผมในปัจจุบันคงจะตระหนักไม่ได้ถึงขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง ทำให้ไม่สามารถจัดการแบ่งเวลาล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวจัดการกับภารกิจต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเพื่อนฝูงและคนรักได้อย่างไม่มีปัญหา
ถึงกระนั้นแล้ว ต่อให้ชีวิตของผมจะดูเหมือนรุ่งเรืองขนาดไหนในช่วงขาขึ้นนี้ แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะตระเตรียมใจเอาไว้ เพราะอย่างไรเสีย ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง ไม่ช้าก็เร็ว ขาลงของชีวิตผมก็จะต้องวนมาถึงอีกครั้ง มันจะเข้ามาสร้างความเจ็บปวด ฝากรอยแผลบทเรียนเอาไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป ทิ้งคำถามให้ผมคิดเอาเองว่า
"ชีวิตของแก แกจะเอาไง จะเป็นไอ้ขี้แพ้ หรือจะไปให้ถึงจุดสูงสุด"
ขอแค่เราเลือกว่าจะไปต่อ ช่วงขาขึ้นก็จะกลับมาหาเราอีกครั้ง แต่ก็ต้องตระหนักให้ได้อยู่เสมอว่าไม่มีอะไรอยู่กับเรานาน เราจะคาดหวังว่าจะใช้ชีวิตดี ๆ ตลอดกาลไม่ได้ เพราะสิ่งสำคัญที่แท้จริงคือประสบการณ์ที่เราได้รับจากทุกช่วงของชีวิตไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ไม่ว่าเวลาไหน หากดวงตาเราเปิดกว้างพอ เราจะพบกับคุณประโยชน์จากทุกเหตุการณ์ในชีวิต และไม่ว่าอย่างไร มันคือปัจจัยที่ทำให้เราเติบโต
ท้องทะเลยามสงบ เมื่อถึงเวลาก็จะมีพายุ
ชีวิตเราก็เช่นกัน
ส่วนตัวผมคิดว่า มีพายุบ้างก็ตื่นเต้นดี