คุณเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านอาการตกใจเมื่อจู่ๆ ลูกที่สุดแสนจะน่ารักของเราใช้คำหยาบบนโลกออนไลน์หรือไม่ !
ถ้าใช่-เข้าใจว่าแว่บแรกที่คุณคิดก็คือคำถามว่าลูกเราไปเอามาจากไหน ?
ก่อนอื่นพ่อแม่อย่าเพิ่งตกใจ หรือโกรธเกรี้ยวที่ลูกใช้คำหยาบคาย แม้เราจะหงุดหงิด หรือไม่ชอบสิ่งนั้น ก็ไม่ควรไปต่อว่าหรือดุด่าตำหนิในทันที
แล้วพ่อแม่ลองเปลี่ยนมาสำรวจตัวเองก่อนว่าเราก็ใช้คำหยาบด้วยหรือเปล่า หรือผู้ใหญ่ภายในบ้านพูดหรือไม่ ถ้าแน่ใจว่าสมาชิกภายในบ้านสุภาพเรียบร้อย ระมัดระวังเรื่องการพูดจา ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจรับมาจากสื่อใดสื่อหนึ่งหรือไม่ สื่อออนไลน์ ทีวี วิทยุ หรือแม้แต่หนังสือก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่มีรายการละครประเภทชิงรักหักสวาททั้งหลาย ที่เด็กอาจซึมซับคำพูด วาจาเสียดสี คำหยาบ และรวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทางที่ไม่เหมาะสมมากมาย
กรณีที่ลูกเป็นเด็กเล็ก ถ้าได้ยินมาจากผู้ใหญ่ในบ้าน ก็ต้องยอมรับความจริงแม้คุณอาจไม่ได้ตั้งใจหรือเคยพูดแม้เพียงครั้งเดียว แต่โปรดเข้าใจว่าเด็กก็สามารถซึมซับประทับไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว
หรือถ้าลูกซึมซับมาจากที่อื่น ก็อาจชวนพูดคุยต่อว่า ฟังมาจากไหน ทำกิจกรรมอะไรกันอยู่ถึงพูดคำนี้ขึ้นมา และก็บอกลูกว่าเป็นคำที่ไม่ไพเราะ คนพูดก็ดูไม่น่ารักเลย และชักชวนเขาอย่าพูดเลยดีกว่าอธิบายให้เขาฟังว่าคำหยาบทำให้คนฟังรู้สึกอย่างไร ถามลูกว่าถ้ามีคนมาพูดหยาบคายกับเขา เขารู้สึกอย่างไร ไม่ชอบเหมือนกันใช่ไหม เป็นการสอนให้เขาเรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย
แต่กรณีที่เป็นวัยก่อนเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยรุ่น เขาอาจจะมีคำศัพท์แสลงหรือคำพูดที่ไม่สุภาพประเภทมึง-กู ที่ใช้กับกลุ่มเพื่อน ก็สามารถผ่อนผันให้เขาได้บ้าง เพราะการห้ามไม่ให้เขาพูดเลยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาก็ยังคงพูดอยู่ดี เพียงแต่เลี่ยงไม่ให้พ่อแม่ได้ยินเท่านั้น
ต้องยอมรับว่าในโลกออนไลน์เราพบเห็นคำหยาบคายมากมาย และในโลกออนไลน์ของลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นก็มีคำหยาบเกลื่อนแพลตฟอร์มที่เขาใช้สื่อสารกับเพื่อน ซึ่งดูเหมือนพวกเขาก็ใช้สื่อสารกันเป็นปกติ ต่างจากคนเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าภาษาที่พวกเขาใช้ไม่ปกติ
และมักจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจใช่ไหมคะ !
ข้อคิดสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นที่ชอบใช้คำหยาบบนโลกออนไลน์
หนึ่ง - ปิดตาข้างหนึ่ง
พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของลูกทุกเรื่องก็ได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นทั้งหลาย ลูกของคุณจะชอบสื่อสารกับเพื่อนผ่านทางโลกออนไลน์ และแน่นอนว่ามันจะต้องมีคำหยาบคายผ่านโลกออนไลน์ และเมื่อพ่อแม่มาเห็นข้อความเหล่านั้นก็อาจตกอกตกใจ เพราะไม่คิดว่าลูกน้อยกลอยใจของเราที่เข้าสู่วัยรุ่น และพูดจากับพ่อแม่ก็สุดแสนจะไพเราะเสนาะหู ทำไมจึงโพสต์คำหยาบคายได้ราวกับไม่ใช่ลูกเรา
ความจริงก็คือเขามีชีวิตของเขา การทำความเข้าใจและปิดตาข้างหนึ่งจะทำให้จิตใจของคุณสงบลง เพื่อที่จะหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป
สอง - อย่าโทษเพื่อนลูก
พ่อแม่จำนวนไม่น้อย เวลาเห็นลูกพูดจาหยาบคายมักจะคิดและแสดงออกว่าลูกเราใช้คำหยาบก็เป็นเพราะเพื่อน เพราะเวลาเขาอยู่บ้านไม่เคยเป็นเลย แต่ให้ทำใจเสียใหม่ว่า ลูกเราเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเป็นเช่นนี้ซึ่งสิ่งแวดล้อมก็มีส่วน แต่มิใช่ทั้งหมด และลูกของเราก็อาจเป็นเฉพาะช่วงเวลาที่อยู่กับเพื่อนเท่านั้น บางคนก็อาจเป็นกับเพื่อนเฉพาะกลุ่มด้วยซ้ำ
ลองนึกถึงตัวเราเองเมื่อครั้งวัยรุ่นก็ได้ ว่าเราก็เคยใช้คำบางคำที่หยาบกับเพื่อนบางคนที่สนิทก็ได้ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการต่อว่ากัน แต่เป็นการแสดงความสนิทสนมในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอาจติดมาถึงบัดนี้ก็มีมิใช่หรือ
สาม - อย่าห้ามแต่ใช้วิธีชี้ให้เห็น
สิ่งที่ไม่สนับสนุนพ่อแม่เมื่อรู้ว่าลูกพูดคำหยาบ แล้วห้ามหรือต่อว่าทันที เพราะคุณอาจได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม หรือไม่ลูกก็อาจบล็อกพ่อแม่จากโลกออนไลน์ของเขา หรือไม่ใช้คำพูดเหล่านั้นเฉพาะต่อหน้าพ่อแม่เท่านั้น แต่เขาก็จะยังคงใช้เหมือนเดิม ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีชี้ให้ลูกเห็นว่า การใช้คำหยาบคายบนโลกออนไลน์จะส่งผลอย่างไรต่อเขา เพราะโลกออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว สิ่งที่เราโพสต์ไปจะบ่งบอกความเป็นเรา ภาพพจน์ของเรา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนที่ไม่รู้จักเราในโลกออนไลน์ เขาก็จะตัดสินจากสิ่งที่ลูกโพสต์ วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อลูกจะทำสิ่งใด หรือต้องทำงานก็อาจมีผลต่อตัวเองก็ได้ จึงต้องมีความระมัดระวังเท่ากับเป็นการชี้ให้ลูกเห็นว่าการกระทำของเราวันนี้จะส่งผลอย่างไรในอนาคต โดยให้เขาคิดเอง
ส่วนค่านิยมของเด็กวัยรุ่นบางคนใช้คำหยาบเพราะคิดว่าเท่ก็มี ปัญหานี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับครอบครัว การมีกลุ่มของเพื่อนและใช้คำบางคำกับกลุ่มเพื่อนเพื่อแสดงความรัก ความสนิทสนมก็มีไม่น้อย มีลักษณะเลียนแบบกันและกัน ยิ่งปัจจุบันมีสื่อให้เห็นทุกวัน สิ่งที่ทำได้ก็คือชี้ให้เขาเห็นว่า“ไม่มีใครอยากฟังคนที่พูดคำหยาบตลอดเวลา”
สี่ - เป็นแบบอย่าง
ที่ว่ามาทั้งหมดไม่มีวันสำเร็จถ้าพ่อแม่ก็ใช้คำหยาบเช่นกัน แม้จะเพียงบางสถานการณ์ แต่บางสถานการณ์นั้นแหละที่ได้เข้าไปอยู่ในจิตใจลูกแล้ว และเขาก็มิได้แคร์ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ดี ก็ยังเห็นพ่อแม่ทำเลย หรือแม้แต่พฤติกรรมการใช้ออนไลน์ของพ่อแม่ก็อาจพลั้งเผลอใช้คำหยาบกับสารพัดคอมเม้นท์ที่พบได้บ่อยในโลกออนไลน์ยุคนี้ อย่าคิดว่าจะไม่มีใครเห็น การเป็นแบบอย่างที่ดียังเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องตระหนัก
ห้า -บ้านต้องปลอดคำหยาบคาย
พ่อแม่จำเป็นต้องมีกฎกติกาของบ้าน ว่าสมาชิกในครอบครัวจะไม่ใช้คำหยาบต่อกัน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับขึงตึงต่อกัน อาจมีสบถบ้าง แต่ไม่ใช่ความตั้งใจ เพราะในความเป็นมนุษย์ของทุกคนก็ย่อมมีบ้างที่ใช้คำไม่เหมาะสม เพียงแต่ต้องไม่ใช่การใช้ชีวิตปกติ ต้องไม่มีคำหยาบต่อกันในบ้าน
กฎกติกาที่ว่าก็อาจจะออกแบบในครอบครัว ส่วนในสังคมของลูกก็อาจมีบ้าง ต้องเปิดช่องให้ลูกด้วย เพียงแต่ให้ลูกได้เรียนรู้ว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร และรู้จักกาลเทศะด้วย
อย่างไรก็ตาม การสอนเด็กในเรื่องนี้ไม่ใช่การสร้างนิสัยให้สุภาพอย่างเดียว แต่ต้องพัฒนาเด็กให้ปรับตัวได้ตามสิ่งรอบตัว ตอนที่ต้องพูดสุภาพก็ทำได้ ตอนออกทะลึ่งทะโมนหรือหยาบหน่อยก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
จริงๆ แล้ว การพูดคำหยาบบ้างเป็นบางครั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดยอมความกันไม่ได้ เพียงแต่พ่อแม่ควรสร้างรากฐานให้ลูกเป็นเด็กที่พูดจาสุภาพเรียบร้อยมาตั้งแต่เล็ก ถ้าพ่อแม่เองหรือคนในบ้านระมัดระวังคำพูด และเป็นแบบอย่างที่ดีมาโดยตลอด ก็ช่วยได้ในระดับสำคัญแล้วล่ะค่ะ
เพียงแต่ปัจจุบัน เราก็ยอมรับว่าปัจจัยภายนอกมีส่วนสำคัญมากในการทำให้เด็กยุคนี้ใช้คำหยาบมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยเสี่ยงจากภายในบ้าน สภาพสิ่งแวดล้อม หรือสื่อรอบตัวเท่านั้น ยังมีตัวอย่างในสังคมอีกมากมายที่ทำให้เด็กเห็นทั้งคำพูดและความรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ผู้ทรงเกียรติ” ก็ยังใช้คำพูดหยาบคาย วาจาส่อเสียด และทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้เด็กเห็นตำตาอยู่บ่อยครั้ง
ยิ่งสังคมยุคแบ่งข้างแบ่งฝ่ายและเต็มไปด้วยพวกสุดขอบแต่ละข้างแต่ละฝ่ายประเภทใครคิดต่างเป็นด่าเขาหมดอย่างทุกวันนี้ด้วยแล้ว....
ก็เหนื่อยใจแทนพ่อแม่และเห็นใจเด็กอยู่มิใช่น้อย