5 องค์กรลงนามนำข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะและดวงตาไปทำคุณประโยชน์ สปสช.เตรียมเชื่อมต่อข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะและดวงตา สู่ฐานข้อมูลบัตรทอง ช่วย รพ.เข้าถึงข้อมูลผู้แสดงความจำนงบริจาค แจ้งญาติได้ทันทีหากมีการเสียชีวิต เหตุหลายครั้งญาติไม่ทราบ เป้นอุปสรรคการขอรับบริจาค
วันนี้ (13 พ.ย.) โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายเรวัติ อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือ เรื่อง การนำข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะและดวงตาไปใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง สภากาชาดไทย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นายเรวัติ กล่าวว่า การลงนามฯ เพื่อนำข้อมูลผู้บริจาคอวัยวะและดวงตาไปทำคุณประโยชน์ร่วมกันของ 5 องค์กร ทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลการบริจาคอวัยวะและดวงตาในระบบ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้แสดงความจำนงบริจาควัยวะและดวงตาในการนำไปใช้ในทางการแพทย์ สร้างชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาคอวัยวะและดวงตา โดยสภากาชาดไทยทั้งศูนย์บริจาคอวัยวะและศูนย์ดวงตาจะมีข้อมูลผู้แสดงความจำนงบริจาคอยู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากกรมการปกครองที่ผู้ทำบัตรประชาชนแสดงความจำนงไว้ ปัจจุบันมีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ 1,114,915 ราย บริจาคดวงตา 1,311,696 ราย เมื่อมีผู้เสียชีวิตโรงพยาบาลจะทำหน้าที่ขอรับบริจาคอวัยวะและดวงตาไม่ว่าจะมีการแสดงความจำนงไว้หรือไม่ และแม้ผู้เสียชีวิตแสดงความจำนงไว้ หลายกรณีที่ญาติเองไม่ทราบ ทำให้เป็นอุปสรรคในการขอรับบริจาค
"การบูรณาการความร่วมมือ 5 องค์กรครั้งนี้มีความสำคัญ โดย สปสช. เข้ามาสนับสนุนการพัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลการรับบริจาคอวัยวะและดวงตาจากสภากาชาดไทยและกรมการปกครอง เข้าสู่ฐานข้อมูลระบบหลักประกันสุขภาพแห่ชาติ ทำให้โรงพยาบาลในระบบสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ว่า ผู้เสียชีวิตได้แสดงความจำนงบริจาคไว้หรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการแจ้งญาติผู้เสียชีวิตรับทราบเพื่อทำตามเจตนารมณ์ของผู้เสียชีวิตต่อไป ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขอรับบริจาคอวัยวะและดวงตา และด้วยข้อจำกัดของเวลาในการขอรับบริจาคอวัยวะ สพฉ. จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติการฉุกเฉินในการลำเลียงจัดส่งอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ปอด เป็นต้น ทั้งทางอากาศ ทางบก หรือทางน้ำ ตามที่คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกำหนด" นายเรวัติ กล่าว
นายเรวัติ กล่าวว่า สภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการรับบริจาคอวัยวะและดวงตา ทำให้ผู้คนในสังคมตระหนักต่อความสำคัญของการบริจาคอวัยวะและดวงตา แต่การจัดเก็บอวัยวะและดวงตาของผู้บริจาคหลังจากเสียชีวิต จำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมสนับสนุนเพื่อให้โรงพยาบาลมีอวัยวะและดวงตาในการรักษาผู้ป่วย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ทั้งเป็นจิตอาสาขับเครื่องบินเพื่อนำส่งอวัยวะเพื่อผ่าตัดให้กับผู้ป่วย และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เน้นย้ำเรื่องนี้เช่นกัน วันนี้เรามีผู้รอปลูกถ่ายอวัยวะ 6,311 ราย และผู้รอผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา 13,510 ราย การที่จะช่วยให้คนเหล่ามีชีวิตใหม่ได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สปสช.สนับสนุนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยมีการพัฒนากำหนดเป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่สิทธิประโยชน์ปลูกถ่ายไตในเดือนตุลาคม 2550 การเปลี่ยนกระจกตาในเดือนมกราคม 2552 การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในเด็กและการปลูกถ่ายตับในเด็กในกรณีท่อน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด หรือตับวายจากสาเหตุอื่นๆ ในเดือนตุลาคม 2554 แม้ว่า สปสช.จะได้จัดสิทธิประโยชน์เหล่านี้แล้ว แต่ยังมีปัจจัยสำคัญในการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาคือการได้รับอวัยวะและดวงตาเพื่อปลูกถ่าย ที่ผ่านมา สปสช.เล็งเห็นปัญหาที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะการจัดเก็บอวัยวะและดวงตาจากผู้ที่แสดงความจำนงที่ได้เสียชีวิตแล้วให้ทันท่วงที จึงได้ร่วมมือกับ 4 องค์กร ที่ล้วนมีหน้าที่และบทบาทสำคัญในเรื่องนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการรับบริจาคและการส่งมอบอวัยวะถึงผู้รับ นอกจากเป็นการดำเนินการให้ผู้เสียชีวิตที่แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะเป็นไปตามเจตนารมณ์แล้ว ยังสร้างชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาคอวัยวะที่รอความหวัง