เมื่อสัปดาห์ที่แล้วลูกชายคนเล็ก “สิน สิทธิสมาน” หรือ “เฉินเทียนเป่า” ณ เซี่ยงไฮ้ เล่าให้แม่ฟังว่าวางแผนไปเที่ยวหางโจวกับเพื่อนแบบต้องพักค้าง โดยเขารับทำหน้าที่เป็นคนวางแผนและดำเนินการเองทั้งหมด แม่ก็รู้สึกแปลกใจบ้างว่าใยเจ้าเฉินเทียนเป่าจึงลุกขึ้นมาเป็นนักจัดการวางแผนเที่ยวเอง เพราะปกติเขาเป็นจำพวกใครว่าไงก็ว่าตาม ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็เป็นพี่ชาย หรือไม่ก็เพื่อนที่จะเป็นนักจัดการทริป ส่วนเขาจะทำหน้าที่ “ว่าตาม” และอยู่หน่วยเอนเตอร์เทนคนอื่น ว่าแล้วแม่ก็เลยเอ่ยชวนว่าลองเขียนถึงทริปนี้ดูไหม น่าจะต้องมีอะไรให้ตื่นเต้นเป็นแน่แท้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง..และจึงกลายมาเป็นข้อเขียนเรื่องเล่าที่สร้างความทรงจำ ความประทับใจ และบทเรียนอีกด้วย
………..........................
มาอยู่เซี่ยงไฮ้เป็นปีที่ 2 ผมได้เริ่มเดินทางท่องเที่ยวแบบไปกับกลุ่มเพื่อน โดยวางแผนไปกันเองหลายครั้งแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเนื่องจากที่มหาวิทยาลัยหยุดวันกีฬาสีพอดี จึงเป็นโอกาสที่เหมาะแก่การวางแผนเดินทางไปท่องเที่ยวอีกครั้ง....
ครั้งนี้ต่างออกไปกว่าครั้งไหน ๆ ตรงที่ผมเป็นคนวางแผนทริปเองเป็นครั้งแรก จองโรงเเรม จองตั๋วรถไฟ และสถานที่ที่ตั้งใจว่าจะไปเองทั้งหมด
ก็ได้พบเจอปัญหามากพอสมควร
ต้องบอกแบบไม่อายว่าครั้งก่อนๆ ที่ผมเคยไปเที่ยวแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะมีคนคอยวางแผนทริปให้อยู่เสมอ ผมมีหน้าที่เพียงแค่ตอบรับว่าไปกับไม่ไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเป็นคนทำเองเกือบทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับตัวผม
แน่ล่ะ เมื่อเป็นครั้งแรกก็ย่อมมีบทเรียนเป็นข้อผิดพลาดบ้าง
ทริปนี้เราเดินทางอยู่ในประเทศจีน เมืองที่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ (上海 ) นัก ชื่อเมืองนี้คนไทยรู้จักกันดีว่าหางโจว (杭州) เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง (浙江)
ทริปนี้ผมเดินทางไปกับเพื่อนอีกคน แม้ว่าจะเป็นเส้นทางอยู่ในประเทศจีน และเวลานี้ภาษาจีนของผมก็ถือว่าสื่อสารได้โดยไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่ก็ยังพบเจอปัญหาที่คาดไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา
เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว งั้นก็มาเริ่มกันเลยนะครับ
วิธีการเดินทางไปหางโจว ผมและเพื่อนเลือกเดินทางไปโดยรถไฟความเร็วสูงหรือเรียกว่า เกาเที่ย (高铁)โดยใช้เวลา 55 นาทีโดยประมาณ รถไฟที่ผมจองไว้นั้นอยู่ที่ รอบ 6 โมง 40 นาทีตอนเย็น คือ 18.40 นาฬิกา แต่ด้วยความที่ออกจากมหาวิทยาลัยช้านิดนึงบวกกับเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน จึงทำให้รถติด พอเราไปถึงสถานีรถไฟก็พบว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึง 30 นาทีรถไฟจะออกแล้ว จึงต้องวิ่งไปออกตั๋วรถไฟให้เร็วที่สุด คือไม่ได้ไปซื้อตั๋วใหม่นะครับ เพราะซื้อผ่านโทรศัพท์ไว้แล้ว แต่ต้องนำโค้ดไปออกตั๋วอีกทีหนึ่ง แถวก็ต่อยาวพอสมควร จนเวลาใกล้จะหมด พวกเราสองคนเครียดกันอย่างมาก พอถึงคิวเราก็รีบยื่นโค้ดให้พนักงานออกตั๋ว
พนักงานก็ส่งตั๋วมาให้เรา แต่เค้าได้ถามเราก่อนว่านี่มันตั๋ว "รอบเช้า" นะ !
ผมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนจองตั๋ว รู้สึกผิดเต็ม ๆ เพราะพอรู้แล้วว่าตั๋วที่จองกลายเป็น 6 โมงเช้า ไม่ใช่ 6 โมงเย็น หรือ 18.40 ตามที่ตั้งใจ
แต่เพื่อนตอบไปอย่างมันใจว่า ตุ้ยย !! ( 对 แปลว่าใช่ ) เพราะด้วยความรีบจึงไม่ได้สนใจว่าพนักงานพูดว่าอะไร ขอแค่ได้ตั๋วเร็ว ๆ ก็พอ
หลังจากนั้นพนักงานก็ย้ำอีกทีว่านี่มัน “รอบเช้า” นะ เพื่อนผมเริ่มลังเลและตอบว่า อ่าห้ะ (น้ำเสียงเริ่มงง ๆ) พนักงานก็ย้ำอีกทีว่านี่มัน “รอบเช้า” นะ
นั่นหมายความว่าผมจองตั๋วผิด !!
ด้วยความที่เป็นคนจองตั๋วต้องรับความผิดไปเต็ม ๆ จึงทำได้แค่ยิ้มเจี่ยมเจี้ยม ส่วนเพื่อนผมก็ได้แต่ยืนหัวเราะกรามค้างซะอย่างนั้น แทนที่จะโมโหให้เป็นพิธีซะหน่อย
สุดท้ายเราสองคนก็ต้องไปเปลี่ยนตั๋วเป็นรอบ 3 ทุ่ม 21.00 นาฬิกา และเสียเงินเพิ่มอีกพอสมควรไปตามระเบียบ
หลังจากเรื่องวุ่นวายที่สถานีรถไฟ เราก็ได้มาถึงเมืองหางโจวเวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ กว่าจะนั่งรถและใช้เวลาเดินหาโรงแรมก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่าแล้ว สุดท้ายแผนที่เตรียมการไว้ว่าจะมาถนนคนเดินแถวนั้นก็ล่มไปในที่สุด...
ทำให้ต้องมานั่งวางแผนใหม่กันทั้งหมด
วันที่สองเราเริ่มต้นด้วยการเดินเล่นรอบ ๆทะเลสาบซีหู (西湖)ซึ่งเรียกว่าถ้ามาหางโจวแล้วไม่ได้มาซีหูก็เหมือนมาไม่ถึงหางโจวนั่นแหล่ะ หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปกันซักพัก เราก็ได้เดินทางไปที่ไร่ชาหลงจิ่ง (龙井村)ซึ่งเป็นชาขึ้นชื่อของที่นี่ เมื่อไปถึงก็พบว่ารอบๆ ไร่ชานั้นเต็มไปด้วยบ้านคน ดู ๆ แล้วเหมือนกับเป็นหมู่บ้านใบชาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอเดินเข้าไปซักพักก็เจอไร่ชาขนาดใหญ่ ราวกับว่าได้ไปเดินเขาลูกเล็ก ๆ เลยทีเดียว
ที่นี่เป็นจุดที่ผมประทับใจที่สุดในทริปก็ว่าได้ เพราะเมื่อมองไปรอบตัวแล้วได้เห็นสีเขียวของใบชารายล้อมไปหมด มันให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ได้ซื้อชาหลงจิ่งกลับบ้าน แถมเรายังไม่ได้ดื่มชาหลงจิ่งอีกด้วย เพียงแค่ไปเดินเล่นถ่ายรูป แค่นั้นจริง ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า
หลังจากที่เราได้เดินเล่นกันจนเหนื่อย เราก็ได้เดินทางไปต่อที่ถนนคนเดิน ชิงเหอฝาง (清河坊) ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เหมาะกับผมเสียเหลือเกิน เพราะเมื่อพูดถึงถนนคนเดิน คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงของกินกับของฝากใช่ไหมครับ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นแหล่ะครับ
ของกินที่นี่อร่อยเหลือเกิน เดินเล่นกันซักพักเราก็กลับโรงแรม
ส่วนในเรื่องของมื้อเย็นนั้น ผมได้นัดเพื่อนสนิทคนไทยที่เรียนด้วยกันที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเทอมที่แล้ว กับเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นคนประเทศสาธารณรัฐเชก (Czech) ซึ่งเป็นเพื่อนต่างชาติที่ผมสนิทที่สุดที่หนานจิง เราได้นัดกันที่ร้านอาหารเวียดนามแห่งหนึ่งย่านในเมือง โดยเราได้เรียกรถไปในช่วงเวลารถติด ซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้พูดคุยกับคนขับรถมากมาย เค้าก็ได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารที่มาหางโจวและต้องไปกินให้ได้อีกด้วย...โชคดีชะมัด...
พอเราได้มาถึงร้านอาหารที่นัดไว้เรากลับพบว่าที่ร้านอาหารเวียดนามแห่งนี้ ก็มีอาหารไทยขายอยู่ด้วย ไม่เพียงแค่อาหารไทยยังมีเบียร์ไทยอีกด้วย เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานปีกว่า จะมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่สังสรรค์กันซักหน่อย ว่าแล้วผมก็ได้ถามเพื่อนว่าจะเอาเบียร์อะไรระหว่าง Elephant หรือ Lion เพื่อนผมเลือกเสร็จก็นั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลินแบบออกอรรถรสให้พอหายคิดถึงกันหน่อย กินเสร็จเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านอย่างไม่ดึกนัก
ก่อนกลับเพื่อนชาวเช็กของผมได้บอกกับผมว่าดีใจมากนะที่ได้มาเจอกันวันนี้ ไว้มีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกไม่ว่าที่เซี่ยงไฮ้หรือหางโจว แล้วเจอกัน I love you, have a good trip mate.
กอดหนึ่งทีละก็เดินจากไป ผมก็ซึ้งไปนิด ๆ ฮ่า ๆ
วันสุดท้ายรอบรถไฟของเราอยู่ที่ 1 ทุ่ม 40 และเพื่อที่จะไม่ให้ประวัติซ้ำรอยเราจึงเตรียมการกันไว้ว่าจะไปสถานีรถไฟตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง ประจวบกับที่ว่าวันนั้นถนนเส้นที่โรงแรมตั้งอยู่นั้นเกิดการจัดวิ่งมาราธอนขึ้น ทำให้การเรียกรถไปไหนไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เราจึงตัดสินใจกันว่า ไปกินร้านอาหารชื่อดังที่คนขับรถแนะนำให้เมื่อวานก็แล้วกัน
เป็นร้านที่เปิดมาประมาณ 100 ปีกว่าแล้ว แต่ข้างในนั้นไม่เก่าเลย ...ราคาก็เอาเรื่องอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกันรสชาติแล้ว บอกเลยว่าคุ้มค่าครับ
ของขึ้นชื่อและพลาดไม่ได้ของทีนี่ก็ต้องเป็นเมนูตงโพโร่ว (东坡肉) ซึ่งก็คือหมูสามชั้นก้อนใหญ่ที่ราดไปด้วยซอสหวานอะไรซักอย่างที่ผมไม่แน่ใจนัก ฮ่า ๆ มันอร่อยแบบสุด ๆ ไปเลย
เมื่อเรากินมื้อนี้กันเสร็จ พูดได้อย่างเต็มปากว่าทริปนี้มันช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกินที่ได้มากินของอร่อยขนาดนี้ เราเดินเล่นถ่ายรูปกันซักพักก็รีบไปที่สถานีรถไฟและกลับถึงเซี่ยงไฮ้อย่างปลอดภัย
แม้ว่านี่คือครั้งที่ 3 แล้วที่ผมมาที่เมืองหางโจว แต่ทุก ๆ ครั้งให้อารมณ์ต่างออกไป
ครั้งแรกพี่ชายผมเป็นคนนำทาง ซึ่งผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย พี่ชายจัดการให้หมดทุกอย่าง ครั้งที่สองมากับทางมหาวิทยาลัยซึ่งก็มีแอบเบื่อนิดหน่อย ครั้งนี้ได้มาวางแผนเดินทางเอง ก็พบว่าค่อนข้างมั่วพอสมควร แต่การไปแบบไม่มีแผนอะไรตายตัวก็ให้อารมณ์สนุกไปอีกแบบ ได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา
ทริปนี้ทำให้ได้เรียนรู้การบริหารจัดการเวลา และข้อบกพร่องเล็ก ๆ ที่เราคิดว่ามั่นใจ แต่กลับต้องมาผิดพลาดง่าย ๆ กลายเป็นเสียเวลากันไปยกใหญ่ แต่ก็นั่นแหล่ะนะ นี่มันเป็นครั้งแรกก็ย่อมมีข้อผิดพลาดกันเป็นธรรมดา ว่าแล้วก็เริ่มติดใจการท่องเที่ยวแบบนี้ขึ้นมาแล้วหล่ะสิ อย่างนี้ทริปต่อไปน่าจะมาในอีกไม่ช้าแน่นอน ฮ่า ๆ
ไว้ทริปหน้าผมไปไหนจะนำประสบการณ์มาแบ่งปันให้อ่านกันอีกนะครับ
หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก