กรมอนามัย เตือนหญิงท้องดื่มน้ำแดงไม่ช่วยบำรุงเลือด ชี้ฝากครรภ์ได้รับยาบำรุงเลือดอยู่แล้ว แนะวิธีกินอาหารบำรุงครรภ์ ช่วยเด็กแรกคลอดน้ำหนักเกิน 2.5 พันกรัม ห่วงข้อมูลท้องวัยรุ่นยังแตกต่าง เร่งบูรณาการข้อมูลให้ชัดทุกพื้นที่ วางแผนแก้ปัญหาเหมาะสม
วันนี้ (31 ต.ค.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวแม่วัยรุ่นอยู่ที่ไหน ว่า สถานการณ์แม่วัยรุ่นลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 โดยปี 2561 อัตราแม่วัยรุ่นอยู่ที่ 35 คนต่อวัยรุ่นหญิงอายุ 15-19 ปี 1 พันคน แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ไม่เกิน 25 คน ภายในปี 2569 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลแม่วัยรุ่นยังไม่แม่นยำ เพราะข้อมูลแม่วัยรุ่นตามจังหวัดที่คลอดบุตร กับข้อมูลแม่วัยรุ่นตามจังหวัดที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแตกต่างกัน จากการที่แม่วัยรุ่น 1 ใน 4 ไม่ได้อาศัยอยู่ในจังหวัดที่ตนเองคลอดบุตร ทำให้ข้อมูลแม่วัยรุ่นของหลายจังหวัดเปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก อาทิ ชลบุรี ระยอง นครนายก สมุทรสาคร สระบุรี ภูเก็ต มีอัตราคลอดแม่วัยรุ่นน้อยลงมาก การแก้ปัญหาแม่วัยรุ่นจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ให้ตรงกับปัญหาและความต้องการในทุกพื้นที่
พญ.พรรณพิมล กล่าวถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งชอบดื่มน้ำแดง เพาะคิดว่าช่วยบำรุงเลือดได้ ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง การเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์หรือระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือ ข้าว-แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วชนิดต่างๆ ผักและผลไม้สด เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ซึ่งในแต่ละช่วงเดือน ร่างกายจะต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป โดยในช่วงไตรมาสแรก คือ 1-3 เดือนแรก ความต้องการพลังงานของร่างกายจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย หากแพ้ท้องมากทำให้กินอาหารได้น้อย ควรแบ่งมื้อกินเป็นมื้อย่อยๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารที่มีเครื่องเทศมาก
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ช่วง 4-6 เดือน ต้องการพลังงานและโปรตีนเพิ่มมากขึ้น ควรกินอาหารมากขึ้น เน้นอาหารที่มีคุณภาพ โดยกินอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ เน้นอาหารจำพวกโปรตีน และแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ โฟเลต ธาตุเหล็ก สังกะสี ไอโอดีน และโพแตสเซียม เพราะในระยะนี้ลูกน้อยกำลังสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างของร่างกาย สารอาหารที่เพียงพอ จะไปช่วยเพิ่มขนาดของอวัยวะที่ทารกกำลังเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท และมากพอที่จะทำให้สุขภาพของแม่แข็งแรงอยู่ได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก ขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด รวมถึงอาหารรสจัด และเพื่อให้ลูกมีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 2,500 กรัม และสมองดี ควรกินปลามื้อละ 4 ช้อนกินข้าว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง กินตับมื้อละ 4 ช้อนกินข้าว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง กินไข่วันละ 1 ฟอง กินผัก มื้อละ 2 ทัพพี กินผลไม้ มื้อละ 2 ส่วน ดื่มนมสมรสจืดทุกวัน วันละ 2-3 แก้ว (แก้วขนาด 200 ซีซี)
"ขณะตั้งครรภ์ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ คือ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หรือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งช่วงนี้ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน และต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นจากปกติ ควรเพิ่มธาตุเหล็กเพื่อใช้ในสร้างเม็ดเลือดและโฟเลตในการป้องกันความผิดปกติปากแหว่งเพดานโหว่ ซึ่งพบในเครื่องในสัตว์ ผักสีเขียวเข้ม ไข่แดง เป็นต้น เพิ่มแคลเซียมและฟอสฟอรัสในการสร้างกระดูกและฟันจาก นม ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้แข็ง ธัญพืช และผักเขียวเข้ม กินอาหารที่เป็นแหล่งไอโอดีน เช่น อาหารทะเล หรือปรุงประกอบอาหารด้วยเครื่องปรุงที่มีการเสริมไอโอดีนที่ช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและการเจริญเติบโตของเซลล์สมองให้สมบูรณ์" พญ.พรรณพิมล กล่าว
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ช่วง 7-9 เดือน ร่างกายยังต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน หรือเท่ากับอาหาร 1 มื้อ หรืออาจเพิ่มเป็นอาหารว่าง 2 มื้อ ในช่วงนี้ควรติดตามการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก เนื่องจากจะมีผลต่อการเจริญเติบโตกับทารก นอกจากนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจครรภ์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และควรกินไตรเฟอร์ดีน ซึ่งประกอบด้วยไอโอดีน ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิกทุกวัน วันละ 1 เม็ด ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด 6 เดือน ตามที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการจ่ายให้ เพื่อการเจริญเติบโตของสมองและร่างกายของลูก นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 10 แก้ว เลือกกินอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย ปรุงสุกใหม่ๆ เพราะพลังงานและสารอาหารที่มีคุณค่าอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อลูกเมื่อทารกคลอดออกมาในช่วงระยะ 6 เดือนแรก ทารกจะได้รับนมแม่เป็นอาหารหลัก การเจริญเติบโตของทารกจะขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของน้ำนม ในระยะนี้แม่จึงจำเป็นต้องกินอาหารให้ได้รับสารอาหารให้เพียงพอเหมาะสมและหลากหลาย เพื่อใช้สร้างน้ำนมสำหรับลูกให้ได้ปริมาณที่เพียงพอและได้คุณภาพ ได้แก่ หัวปลี ใบกระเพรา ฟักทอง เมล็ดขนุนต้ม พริกไทย ขิง มะรุม ใบแมงลัก กุยช่าย ตำลึง มะละกอ พุทรา