กยศ.แจง 6 ขั้นตอนทวงหนี้ “ผู้กู้ยืม” ทั้งส่งหนังสือ ใบแจ้งหนี้ ก่อนดำเนินคดี ชี้ สืบหาทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แจงศิษย์เบี้ยวหนี้ “ครูวิภา” ไม่พบเป็น ขรก. ลูกจ้างตามระบบจ่ายตรงเงินเดือน และสืบไม่พบทรัพย์ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
จากกรณี น.ส.วิภา บานเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง จ.กำแพงเพชร ถูกกรมบังคับคดียึดบ้านและที่ดิน หลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้นักเรียน 60 คน เมื่อปี 2541 แต่ลูกศิษย์ไม่ยอมใช้หนี้ ซึ่ง กยศ.ได้ช่วยเหลือโดยประสานกรมบังคับคดีชะลอการยึดทรัพย์ ขณะเดียวกัน สังคมได้ตั้งคำถามถึงการติดตามทวงหนี้ของ กยศ.กับลูกหนี้ ว่า ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ ก่อนที่จะมาไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกัน
วันนี้ (27 ก.ค.) นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุน กยศ. กล่าวถึงประเด็นนี้ ว่า กยศ.มีมาตรการติดตามหนี้สินจากผู้กู้ยืมตามกฎหมายและเป็นมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ทั้งรัฐและเอกชน โดย 1.ส่งหนังสือแจ้งภาระหนี้ครั้งแรกให้ผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้งวดแรกทราบเพื่อไปชำระหนี้ 2.ส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้กู้ยืมทุกรายที่ครบกำหนดชำระหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป เพื่อไปชำระหนี้ หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง กองทุนฯ จะส่งหนังสือติดตามทวงถามหนี้ค้างไปยังผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ค้างชำระ โดยการส่ง SMS / หรือข้อความเสียง (สำหรับรายที่กองทุนฯมีหมายเลขโทรศัพท์) และติดตามหนี้ทางโทรศัพท์ เพื่อเจรจาให้ลูกหนี้ชำระหนี้)
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า 3.หากมีการติดตามทวงถามโดยวิธีการต่างๆ แล้ว ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ จนมีหนี้ค้างชำระหลายงวด กองทุนฯจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน 4.กองทุนฯ จะดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันเมื่อผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันที่ไม่ชำระหนี้ โดยยื่นฟ้องผู้กู้ยืมต่อศาลที่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน เมื่อถึงวันนัดพิจารณา หากผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันมาศาล กองทุนฯ จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความและให้โอกาสในการผ่อนชำระหนี้ต่อไปอีก 9 ปี แต่หากไม่มาศาล ศาลจะดำเนินการสืบพยานและมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้
5.หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว กองทุนฯ จะดำเนินการติดตามให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันชำระหนี้ หากผู้กู้และผู้ค้ำประกันขอผ่อนชำระหนี้ กองทุนฯจะพิจารณาให้โอกาสในการผ่อนชำระ แต่หากยังไม่ชำระหนี้ กองทุนฯจะดำเนินการบังคับคดี ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และ 6.ในการบังคับคดี กองทุนจะขอศาลในการส่งคำบังคับไปยังภูมิลำเนาของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยจะสืบหาทรัพย์สินที่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และขอหมายบังคับคดีต่อศาลเพื่อส่งให้กรมบังคับคดีทำการยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันเพื่อนำมาขายทอดตลาดต่อไป
“ทางกองทุนฯได้ประสานงานกับกรมบังคับคดีในการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยในชั้นบังคับคดี เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ตามคำพิพาษา ที่ถูกยึดทรัพย์ในการผ่อนชำระหนี้ได้อีกภายในระยะไม่เกินสามปีหรือภายในระยะเวลาที่กองทุนฯและลูกหนี้ตกลงกันเพื่อให้โอกาสแก่ลูกหนี้และงดการขายทอดตลาดไว้ก่อน เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้เสร็จสิ้นกองทุนฯจะดำเนินการถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าว” นายชัยณรงค์ กล่าว
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวว่าลูกหนี้ไม่เคยได้รับการติดต่อจากกองทุนฯและไม่ทราบว่ามีการฟ้องนั้น กองทุนฯ ขอชี้แจงว่า กองทุนฯได้ดำเนินการติดต่อไปตามที่อยู่ ตามทะเบียนราษฎร หรือตามที่ผู้กู้แจ้งความประสงค์ และในส่วนของส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนคำพิพากษา คำบังคับ หมายบังคับคดี ศาลโดยเจ้าพนักงานนำหมายจะส่งไปตามภูมิลำเนาของลูกหนี้ที่ปรากฏตามทะเบียนราษฎร ซึ่งหากไม่พบตัวลูกหนี้หรือไม่มีผู้ใดรับหมายศาลไว้แทน เจ้าพนักงานเดินหมายจะดำเนินการปิดหมายไว้ ณ สถานที่นั้นซึ่งถือเป็นการส่งหมายโดยชอบด้วยกฎหมาย
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ข่าวแจ้งว่า มีผู้กู้บางรายเป็นข้าราชการ แต่ทำไมจึงไม่สามารถติดตามทวงหนี้ได้นั้น กองทุนฯขอชี้แจงว่า สำหรับผู้กู้ตามข่าวที่อยู่ระหว่างบังคับคดีและยังมีภาระหนี้สินกับกองทุนฯนั้น กองทุนฯได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานราชการที่ถือครองข้อมูลแล้ว ไม่พบว่าบุคคลตามข่าวเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำ ที่อยู่ในระบบจ่ายตรงเงินเดือนแต่อย่างใด ส่วนรายที่สามารถดำเนินการบังคับคดีได้นั้น เนื่องจากกองทุนฯได้ดำเนินการสืบหาทรัพย์สินแล้ว ไม่ปรากฏว่า มีทรัพย์สินที่ลูกหนี้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ นอกจากผู้ค้ำประกันที่มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น กองทุนฯจึงได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกัน
ปัจจุบัน พ.ร.บ. กองทุนฯ พ.ศ.2560 ได้กำหนดให้กองทุนฯ มีอำนาจขอข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทำให้กองทุนฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กู้ยืมเพื่อให้ติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกองทุนฯมีอำนาจในการแจ้งหักเงินเดือนของผู้กู้ผ่านองค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนของข้าราชการกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานแรกแล้ว และจะดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนของข้าราชการทั้งหมดในลำดับถัดไป โดยในส่วนของภาคเอกชนจะเริ่มดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนในต้นปีหน้าเป็นต้นไป โดยส่วนผู้กู้ยืมที่ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับเงินเดือนผ่านนายจ้าง กองทุนฯจะดำเนินการติดตามหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ และติดตามโดยวิธีการอื่นๆ ในมาตรฐานเดียวกับที่สถาบันการเงินทั่วไป ดำเนินการกับผู้กู้ยืม เพื่อให้ได้เงินกลับคืนสู่กองทุนฯและนำไปใช้หมุนเวียนในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษารุ่นหลังต่อไป