คุณพ่อคุณแม่มักจะมองลูกที่เป็นเด็กอายุ6-9ขวบนั้นว่าเขาคงไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กในวัยนี้สามารถจะช่วยรับผิดชอบทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด ปัจจุบันนี้โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามา ทำให้ดึงความสนใจของลูกไปจากทักษะที่จำเป็นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้า การเตรียมอาหาร การทำแผล ทุกวันนี้พบว่าถึง 58% ของเด็กวัย6-9ขวบสามารถจะใช้โทรศัพท์มือถือได้ โดยสามารถรู้จักวิธีการเปิดปิดได้ เล่นเกมได้ แต่มีเพียงแค่ 15% เท่านั้นที่สามารถทำและจัดเตรียมอาหารเช้าได้ ดังนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ปกครองควรหันมาสนใจสอนทักษะที่จำเป็นเหล่านี้ให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กจะได้รู้จักการพึ่งพาตัวเอง และเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีในอนาคตได้ ซึ่งทักษะดังกล่าวที่ควรสอนให้กับเด็กก่อนอายุ10ขวบ มีดังนี้
1. การซักผ้า มีเด็กวัยรุ่นหลายคนที่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังไม่รู้จักวิธีการซักผ้าให้สะอาด อย่าให้ลูกของเราเป็นเช่นนั้น เราควรสอนให้ลูกที่จะรู้จักวิธีการซักผ้าเมื่ออายุประมาณ6ขวบ โดยการนำผ้าเข้าเครื่องซักผ้าและการแยกชนิดของผ้า ไม่ว่าจะเป็นสีและเนื้อผ้า สอนให้ลูกรู้วิธีการใส่น้ำยาซักผ้า การเปิดปิดเครื่องซักผ้า โดยให้ลูกเห็นว่างานซักผ้าเป็นงานที่เป็นเรื่องสนุก แม้ว่าตอนเริ่มแรกลูกอาจจะทำผิดพลาดบ้าง แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องคอยให้กำลังใจและเสริมแรงจนลูกสามารถซักผ้าได้เองในที่สุด
2. ปลูกต้นไม้ เด็กก่อนวัยเรียนหลายคนเรียนรู้วิธีการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกถั่วงอกอย่างง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกช่วยขุดดินและเตรียมภาชนะที่จะใส่ดิน จากนั้นนำต้นไม้ลงไปปลูก กลบดินให้เรียบร้อย ให้ลูกช่วยรดน้ำจากฝักบัว ในเด็กวัย6-7ขวบสามารถจะช่วยดึงวัชพืชต่างๆออกได้ หรือช่วยแยกต้นไม้ชนิดต่างๆเพื่อไปปลูกในกระถางใหม่ต่อไปได้
3. ห่อของขวัญ วัยเด็กเล็กนี้ ลูกชอบที่จะมีโอกาสห่อของขวัญ และให้ของขวัญต่อกันและกัน ในช่วงวัยเด็กนี้ลูกสามารถจะช่วยตัดกระดาษและติดเทปลงในกล่องช่วยตัดราคาสินค้าออก ช่วยหาขนาดกล่องที่เหมาะสมและช่วยเลือกกระดาษห่อของขวัญ วัดขนาดและช่วยห่อของขวัญได้ ซึ่งนอกจากเด็กจะสนุกแล้วยังเป็นพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ด้วยในขณะเดียวกัน
4. งานช่างตอกตะปู เด็กวัย7-9ขวบ หากเป็นเด็กผู้ชายมักจะชอบช่วยคุณพ่อทำงาน โดยเราสามารถจะหาของเล่นจำลองต่างๆที่ร้านขายของเล่นได้ อาจจะมีตะปูสำหรับเด็กที่สามารถจะใช้ได้ ให้เริ่มหัดจากใช้กระดาษแข็งหรือไม้ที่มีเนื้ออ่อน เลือกขนาดตะปูที่เหมาะสมและสอนวิธีการตอกตะปูให้กับลูก โดยทำให้ลูกดูก่อนและเริ่มให้ลูกจับกระดาษแข็งไว้แล้วเราอาจจะเป็นคนช่วยเอาตะปูใส่ลงในกระดาษแข็งให้ลูก เพื่อป้องกันการถูกตะปูและค้อนทุบที่นิ้วมือ บอกลูกเสมอว่าต้องจับที่กระดาษหรือไม้ไว้เสมอในขณะที่ตอกตะปู
5. การเขียนจดหมาย เด็กในวัยเล็กๆสามารถจะวาดรูปเขียนเป็นจดหมายส่งให้คนในครอบครัวได้ สอนลูกถึงวิธีการติดแสตมป์และการนำไปหย่อนไว้ที่ตู้ไปรษณีย์ สำหรับเด็กโตเราสามารถสอนการเขียนที่อยู่บนหัวจดหมายและวิธีการเขียนคำทักทาย คำขึ้นต้น และคำลงท้าย เพื่อให้ลูกเขียน ส.ค.ส. ส่งความสุขไปถึงญาติพี่น้องหรือคนใกล้ตัว
6. การเตรียมอาหาร ชวนลูกมาช่วยในการเตรียมอาหารในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดโต๊ะอาหาร การเตรียมช้อนส้อม ผ้าปูโต๊ะ ช้อนกลาง การวางแก้วน้ำ ในช่วงแรกๆหากลูกทำจานตกแตกหรือทำซอสหกเลอะเทอะ อย่าดุหรือว่ารลูก แต่ควรให้กำลังใจ เด็กในวัยประมาณอายุ5-6ขวบสามารถจะทำแซนด์วิชอย่างง่ายๆได้ เด็กอายุประมาณ7-8ขวบจะสามารถปิ้งขนมปังหรือหุงข้าวได้ และเมื่อลูกอายุ 10 ปีลูกสามารถจะเปิดเตาแก๊ซและทอดไข่ได้
7. ช่วยบอกทิศทาง โทรศัพท์มือถือสมัยนี้สามารถช่วยบอกทิศทางและสถานที่ที่จะไปได้ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้ดูทิศทางหรือค้นหาสถานที่ต่างๆได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
8. ทำแผล คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกตั้งแต่เขายังเล็กๆว่าไม่ต้องตกใจเมื่อเห็นเลือด โดยเวลาที่ลูกหกล้มแล้วเกิดเป็นแผลขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็ควรสอนลูกถึงวิธีการทำความสะอาดบาดแผล การห้ามเลือด การรู้ชนิดของยาที่จะทารักษาแผล และวิธีการใช้พลาสเตอร์ปิดบาดแผล
9. ทำความสะอาดห้องน้ำ คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมฟองน้ำขัดห้องน้ำ ผ้าขี้ริ้ว แปรงขัดห้องน้ำ กระดาษทิชชู ไว้ให้เด็กก่อนวัย 10 ปีฝึกหัดล้างห้องน้ำ แต่ควรสอนลูกให้ระมัดระวังในการใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดชนิดต่างๆด้วย
10. สอนลูกเรื่องการเปรียบเทียบราคาในการซื้อสินค้า เมื่อไปจับจ่ายใช้สอยหรือซื้อสินค้า ควรอธิบายให้ลูกฟังถึงราคาที่แตกต่างกันเช่นบอกว่าแม่จะไปซื้อมะเขือเทศตรงนั้นและเปรียบเทียบราคาอีกร้านหนึ่งว่าขายในราคาเท่าไหร่เพื่อที่ลูกจะสามารถเปรียบเทียบและซื้อของได้ในราคาที่ถูกกว่า สอนให้ลูกเรียนรู้ถึงการใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง
ทักษะต่างๆเหล่านี้เป็นทักษะจำเป็นที่ลูกในช่วงวัยก่อน10ขวบสามารถที่จะเรียนรู้และทำได้ เพราะทักษะต่างๆเหล่านี้จะช่วยฝึกให้ลูกเป็นคนคิดเป็นแก้ปัญหาเป็นอีกทั้งเป็นคนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นด้วย ซึ่งจะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ