กรมสุขภาพจิต แนะ 8 วิธีพ่อแม่รับมือ “ลูกเล็ก” กระจองอแง ไม่อยากไปโรงเรียน ย้ำไม่ตามใจเด็ก แต่ห้ามข่มขู่ ดุ หรือตีลูก เผยเคล็ดลับไปส่งด้วยตัวเองทุกวันให้ลูกมั่นใจ ลดกังวลต่อการแยกจาก สอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ไม่เฝ้าลูกที่โรงเรียน ชี้เป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของเด็กในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่นอกบ้าน
นพ.สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงการปัญหาลูกไมยอมไปโรงเรียนช่วงเปิดเทอม ว่า เรื่องนี้ถือปัญหาสำคัญของพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่มือใหม่ ซึ่งจะพบปัญหาอยู่ 2 ประเภท คือ 1. เด็กไม่ยอมไปโรงเรียนโดยเฉพาะเด็กอนุบาลที่มีประมาณ 700,000 คนทั่วประเทศ และพึ่งจะเริ่มไปโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต และ 2. เด็กประถมศึกษาตอนต้นที่ไม่ยอมไป เนื่องจากปิดเทอมมานานและเคยนอนตื่นสายจนชิน ทั้งนี้ ปัญหาการไม่อยากไปโรงเรียนแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน ในเด็กวัยอนุบาลเป็นเรื่องของการแยกจากพ่อแม่ บางคนร้องไห้อยู่ 1 - 2 วันแรกก็หยุด บางคนอาจร้อง 1 - 2 สัปดาห์ บางคนร้อง 1 - 2 เดือน ขึ้นกับพื้นฐานอารมณ์ของเด็กแต่ละคน การปรับตัว วิธีเลี้ยงดูและท่าทีของพ่อแม่ นอกจากนี้ บางคนอาจมีพฤติกรรมถดถอย เช่น ดูดนิ้ว กัดเล็บ งอแง นอนไม่หลับ ปัสสาวะรดที่นอน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ หากพ่อแม่ให้ความเข้าใจ และช่วยประคับประคอง ลูกก็จะผ่านช่วงนี้ไปได้
“การเตรียมลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นพัฒนาการของเด็กที่ต้องแยกจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ออกจากสังคมในครอบครัว เพื่อไปเรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสังคมใหม่ที่โรงเรียนซึ่งจะมีอิทธิพลต่อเด็กมาก เด็กจะได้เรียนรู้ทางวิชาการ ฝึกการเขียนอ่าน ได้เล่น ฝึกการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคม และเป็นพัฒนาการของพ่อแม่เองด้วย เป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้ว่าลูกเป็นอีกปัจเจกบุคคลหนึ่ง ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พ่อแม่จึงต้องให้ความสำคัญ” นพ.สมัย กล่าว
นพ.สมัย กล่าวว่า หากมีปัญหาลูกไม่อยากไปโรงเรียน มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติ 8 ประการ ดังนี้ 1. ไม่ตามใจเด็ก ให้พูดด้วยเหตุผลถึงประโยชน์ของการไปโรงเรียนและยืนยันว่าลูกต้องไปโรงเรียนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ต้องไม่ข่มขู่ บังคับลูก ดุหรือตีลูก 2. ในระยะแรกอาจต้องไปส่งลูกด้วยตัวเองทุกวัน เพื่อให้ลูกมั่นใจ ลดความกังวลต่อการแยกจาก 3. กอดลูกทุกเช้าก่อนเดินทางไปโรงเรียนหรือก่อนแยกกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูก ให้เด็กเรียนรู้ว่าการแยกกันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เด็กจะมีการเติบโตทางจิตใจมากขึ้น 4. ควรไปรับลูกให้ตรงเวลาหลังเลิกเรียน ไม่ควรทิ้งให้ลูกรอนานๆ เพราะจะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกเป็นกังวลได้ 5. ชวนลูกพูดคุยถึงเพื่อนและครูที่โรงเรียน เพื่อให้ลูกได้เล่าสิ่งที่พบเจอมาในแต่ละวันให้พ่อแม่ฟัง 6. สอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง เพราะเวลาไปโรงเรียนลูกต้องทำอะไรด้วยตัวเอง จะได้ไม่รู้สึกแปลกแยกหรือด้อยกว่าเพื่อน 7. ไม่ควรอยู่เฝ้าลูกที่โรงเรียน เนื่องจากจะส่งผลให้เด็กปรับตัวกับคนอื่นได้ช้า คอยพะวงมองหาพ่อแม่ที่นั่งเฝ้าอยู่ และ 8.พยายามลดความตึงเครียดของการไปโรงเรียนให้มากที่สุด เช่นเตรียมอุปกรณ์การเรียน ขุดนักเรียนไว้ให้พร้อมล่วงหน้า เพื่อที่จะไม่ต้องเร่งรีบในตอนเช้า จะช่วยลดความเครียดทั้งกับลูกและพ่อแม่ได้ดี
พญ.กุสุมาวดี คำเกลี้ยง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ปัญหาและพฤติกรรมไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กจะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะหายไปไม่เกิน 1 เดือน แต่หากพบปัญหา 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ 1. ลูกมีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรง เช่น เริ่มก้าวร้าว ขว้างของ ทำร้ายหรือทุบตีพ่อแม่ 2. ลูกมีอารมณ์ซึมเศร้าต่อเนื่อง เช่น ดูไม่มีความสุข เก็บตัว ร้องไห้บ่อยๆ 3. มีอาการทางกายบ่อยๆ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เป็นต่อเนื่องกันนานหลายเดือนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น และ 4. คุณพ่อคุณแม่เกิดความเครียดมากควบคุมลูกไม่ได้เลย อาจต้องยอมให้ลูกหยุดโรงเรียนมาหลายวัน หรือเป็นสัปดาห์แล้วแนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์เด็กหรือกุมารแพทย์ หรือที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขได้อย่างตรงจุด เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวัน ปัญหาก็จะยิ่งแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ