อย. เพิ่มเจ้าหน้าที่ 6 คน ประจำสำนักงาน กสทช. ตจรวจสอบโฆษณาผิดกฎหมาย เกินจริง ทั้งอาหารเสริม เครื่องสำอาง หากพบยื่น กสทช. สั่งระงับออกอากาศทันที หวังลดขั้นตอนจากเดิมใช้เวลา 45 - 60 วัน
วันนี้ (3 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมแถลงข่าวแนวทางระงับการออกอากาศผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่ไม่ผ่าน อย. และไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ปัจจุบันกระบวนการทำงานตรวจสอบเนื้อหาโฆษณาที่มีเนื้อหาสาระในลักษณะเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการหรือสินค้าโดยหลอกลวง หรือกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับบริการหรือสินค้า จะต้องนำเนื้อหาเข้าสู่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ ที่มี กสทช. พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ เป็นประธาน ซึ่งเมื่อพบว่ามีโฆษณาที่ผิดกฎหมาย หรือการโฆษณาเกินจริง กสทช. ก็จะมีการสอบถามไปยัง อย. โดย อย. จะทำการตรวจสอบก่อนส่งเรื่องกลับมาที่สำนักงาน กสทช. รวมระยะเวลากระบวนการจะใช้เวลา 45 - 60 วัน ถึงจะสามารถยุติการออกอากาศรายการนั้นได้ แต่หลังจากนี้ กสทช. และ อย. จะเร่งรัดการยุติการออกอากาศโฆษณาด้วยการลดขั้นตอนเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อประชาชน
นายฐากร กล่าวว่า จากนี้ กสทช. และ อย. จะทำงานร่วมกันโดยจะมีเจ้าหน้าที่จาก อย. จำนวน 6 คน มาประจำการที่ศูนย์ตรวจสอบเนื้อหาวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ที่ผิดกฎหมาย ที่สำนักงาน กสทช. เพื่อตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่ไม่ผ่าน อย. และไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาผ่านสถานีโทรทัศน์ หากพบว่ามีโฆษณาใดที่ผิดกฎหมาย อย. จะทำหนังสือแจ้งมาเพื่อให้เลขาธิการ กสทช. มีคำสั่งระงับโฆษณานั้นเป็นการชั่วคราว แล้วส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาการกระทำอันเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ และ กสทช. ตามลำดับ จนกว่าผลการพิจารณาจะเป็นข้อยุติ ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ข้อ 5(2) ที่ระบุว่า การออกอากาศรายการหรือการโฆษณาที่มีเนื้อหาสาระในลักษณะเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการหรือสินค้าโดยหลอกลวง หรือกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับบริการหรือสินค้านั้น หรือโดยการใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือข้อมูลอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริง จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท และหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับวันละ 100,000 บาท
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สธ. เห็นความสำคัญในการที่จะตรวจสอบโฆษณาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่ได้ผลดีที่สุดคือการแก้ไขที่ต้นทาง ไม่ให้มีโฆษณาเผยแพร่ผ่านสื่อออกมาหลอกลวงผู้บริโภค ความร่วมมือระหว่าง อย. และ กสทช. ในการดำเนินการครั้งนี้ จะเป็นผลดีที่ทำให้สามารถกลั่นกรองโฆษณาได้ตั้งแต่ต้น ทำให้การคุ้มครองผู้บริโภค มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการรับข่าวสารโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่ฝ่าฝืนกฎหมายทางวิทยุและโทรทัศน์ เนื่องจากผลของข่าวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่ ณ เวลานี้ เป็นการโฆษณาทางโซเชียลมีเดีย ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพครอบคลุมทั้งในสื่อวิทยุและโทรทัศน์ไปในขณะเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกันในครั้งนี้
นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. กล่าวว่า กระบวนการใหม่จะมีการร่วมกันพิจารณาเนื้อหา การโฆษณาที่ออกอากาศให้ทันต่อสถานการณ์มากขึ้น และการร่วมกันพิจารณา จะเป็นการลดขั้นตอน ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งในส่วนของสำนักงาน กสทช. และ สธ. ด้วย ดังนั้น จึงขอให้ทางผู้ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ รวมถึงผู้ที่จะว่าจ้างลงโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางในทางวิทยุและโทรทัศน์ โปรดตรวจสอบเนื้อหา รวมถึงต้องนำเนื้อหาการออกอากาศมาขออนุญาตตามกฎหมายที่ อย. และ สสจ. กำกับดูแลอยู่ ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป
“ขอย้ำเตือนมายังผู้บริโภค ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง อ้างรักษาได้สารพัดโรค ขอให้ผู้บริโภคระลึกไว้เสมอว่า อาหารไม่ใช่ยา ไม่สามารถช่วยบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคได้ เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองเงินแล้วยังอาจได้รับอันตรายจากการปนเปื้อนยาหรือสารอันตรายที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ส่วนเครื่องสำอางมีวัตถุประสงค์เพื่อความสะอาดและสวยงามเท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกายได้ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อสรรพคุณที่อวดอ้างเกินความจริงทางสื่อต่างๆ นอกจากจะเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจได้รับอันตรายโดยคาดไม่ถึง” นพ.วันชัย กล่าว