xs
xsm
sm
md
lg

เก้าอี้ในเมืองกับรั้วไม้ที่อมก๋อย / สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วดิฉันและลูกชายทั้ง 2 คน ได้ร่วมเดินทางไปกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เดินเท้า พอ.สว. ครั้งที่ 15 ณ ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 23 - 29 กรกฎาคม 2560 พวกเราทั้งสามคนได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการร่วมเดินทางและทำประโยชน์เท่าที่จะทำได้

การเดินทางกับทีม พอ.สว. ของดิฉันเป็นครั้งที่ 3 - จากปีแรกไปคนเดียว - ปีที่ 2 ชวนเจ้าลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” วัย 19 ปี ไปด้วย และปีนี้ก็ควง 2 คน เพิ่มเติมคือเจ้าลูกชายคนเล็ก “สิน สิทธิสมาน” วัย 17 ปี ร่วมทริปด้วย

พวกเราทำการบ้านร่วมกันว่าจะไปทำกิจกรรมอะไรบนนั้นบ้าง เพราะเชื่อว่าจะเป็นการเปิดประสบการณ์เรียนรู้โลกใบใหญ่ใบนี้ร่วมกันได้แน่ กลับมาลองให้เขาทั้งสองถ่ายทอดสิ่งดีๆ ที่เขาได้จากการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้ของ “สรวง สิทธิสมาน”

และบทความชิ้นนี้ทำให้ครอบครัวเรารู้สึกดีที่สะท้อนว่าเขามองเห็นคนอื่นนอกเหนือจากตัวเอง !!

…………………………………………

หลังจากที่ผมได้มีโอกาสร่วมเดินเท้ากับทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของมูลนิธิ พอ.สว. ที่อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และลงจากดอยกลับเข้ามาในเมืองได้วันเดียว ก็ได้พบเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวบนดอย

เรื่องมีอยู่ว่า...

ขณะที่ผมกำลังนั่งรถแท็กซี่ไปยังคอนโดของผม ขณะนั้นเวลา 15.00 น. ซึ่งไม่ใช่เวลาปกติที่รถจะติด แต่กลับติดหนักมาก ทีแรกคิดว่าคงจะเป็นเพราะอุบัติเหตุ...

แต่ 20 นาทีผ่านไป รถแท็กซี่คันที่ผมนั่งก็เคลื่อนมาถึงจุดเกิดเหตุ ก็พบว่าไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น มีเพียงแค่เก้าอี้ตัวหนึ่งตัวล้มขวางเลนถนนอยู่

ผมชะโงกหน้าดูรถคันหน้าและคันต่อๆ ไป ขับรถเบี่ยงหลบออกไปทางเลนข้างๆ คันแล้วคันเล่า ก็ไม่มีใครคิดที่จะมาเก็บเก้าอี้ตัวนั้นออกไปจากทางถนน แม้แต่เจ้าของเก้าอี้ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวแผงลอยข้างทางก็ยังไม่สนใจด้วยซ้ำ

ในเวลานั้นผมจึงตัดสินใจเปิดประตูรถและเดินออกไปหยิบเก้าอี้ตัวนั้นกลับไปคืนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแผงลอย ผมใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีในการหยิบเก้าอี้ที่มีน้ำหนักเบาไม่ถึง 1 กิโลกรัมกลับไปคืนที่ที่มันควรจะอยู่ และกลับมาขึ้นรถ

หลังจากนั้น การจราจรก็กลับมาลื่นไหลราวกับว่าถนนเส้นนี้ไม่เคยรถติดมาก่อน

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ ทิ้งคำถามเอาไว้ในหัวผมว่า 20 นาทีที่ผ่านมา ไม่มีใครคิดจะเอาเก้าอี้ตัวนั้นกลับไปคืนที่เดิมเลยหรือ !

การเสียเวลาไม่ถึงนาทีในการออกจากรถไปเก็บเก้าอี้ที่ขวางทางทำให้รถติดยาวขนาดนี้ มันมากเกินไปหรือ ?

หรือแดดในเมืองมันร้อนเกินไป ?

นึกย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 3 - 4 วันก่อน ในขณะที่ยังอยู่บนดอย ผมได้รู้จักกับชายคนหนึ่งชื่อว่า “เหม่ย์ดี” อายุ 16 ปี เป็นชาวกะเหรี่ยงสะกอ ซึ่งเป็นผู้นำทางทีมหมอเดินดอยสายที่ 1 ที่ต้องเดินเท้าเข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายเพื่อทำการรักษาคนไข้ในแต่ละหมู่บ้าน

ในวันนั้นเราเดินผ่านไร่ผ่านนาชาวบ้านซึ่งมีรั้วขวางไม่ให้วัวควายหรือสัตว์ต่างๆ หลุดเข้าไปกินผลผลิตที่พวกชาวบ้านปลูกขึ้นมา พวกเราจึงต้องปีนข้ามรั้วเพื่อเดินไปในทางที่ถูกกำหนดไว้ และด้วยเหตุที่รั้วนั้นทำมาจากกิ่งไม้ตามป่า จึงไม่สามารถรับน้ำหนักคนได้มากนัก สุดท้ายรั้วก็พังลงมาจนได้
หลังจากที่ทีมแพทย์อาสาทีม 1 ข้ามรั้วนั้นมาได้จนครบทั้งทีมแล้ว เหม่ย์ดีก็รีบวิ่งจากหัวขบวน กลับไปซ่อมรั้วไม้ที่พังลงมา โดยการใช้มีดเดินป่าฟันกิ่งไม้จากต้นที่อยู่ในบริเวณนั้นมาเสริมรั้วเก่าที่พังลงมา ให้แข็งแรงขึ้น และรีบวิ่งจากท้ายขบวนกลับมาทำหน้าที่นำทางต่อที่หัวขบวน

ผมซึ่งเดินอยู่ที่หัวขบวนพร้อมกับพี่ๆ หมอจำนวนหนึ่ง ได้ถามเหม่ย์ดีไปว่า “รู้จักเจ้าของไร่ที่ไปซ่อมรั้วให้เหรอ”

เหมย์ดีตอบกลับมาว่า “ไม่รู้จักครับ”

พวกเราจึงถามอีกว่า “แล้วไปช่วยซ่อมรั้วทำไม”

เหม่ย์ดีตอบว่า “ผมต้องทำครับ มิเช่นนั้นจะมีวัวมีควายหลุดเข้ามากินข้าวที่เขาปลูกเอาไว้ครับ”

...แล้วเหม่ย์ดีก็เดินแซงพวกเราไปอยู่ข้างหน้า

เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง 2 เหตุการณ์ข้างต้นที่เล่ามานี้แล้ว ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังกับสังคมเมืองจนแทบพูดไม่ออกเลยทีเดียว

ในสังคมเมือง...การเสียสละแรงกายเพื่อผู้อื่น หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นคุณสมบัติที่ทุกคนควรจะมี แต่ทุกวันนี้..มันหายไปไหนหมด?

รถทุกคันที่ขับผ่านเก้าอี้สีแดงไป คงทำแค่เพียงมองและเลี้ยวหลบ ปล่อยให้คนข้างหลังทำในแบบเดียวกัน

เก้าอี้สีแดงตัวนั้นจะล้มอยู่ตรงนั้นไปอีกนานขนาดไหน...หากผมไม่ได้ออกไปขยับมัน....

ทุกวันนี้ คนในสังคมเมืองมักจะคิดถึงตัวเองก่อนส่วนรวมเสมอ เพราะมีปัจจัยและผลประโยชน์ต่างๆ ทำให้ผู้คนคอยเอาแข่งขันวิ่งตามยศตามตำแหน่ง ค่าเงิน และผลประโยชน์ บีบให้ผู้คนเริ่มใช้เล่ห์กล การทุจริต การโกง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ จนไม่รู้จักพอ ยิ่งได้ ยิ่งต้องการ

และสิ่งเหล่านี้มันก็แพร่อยู่ในสังคมเมือง ราวกับโรคร้ายที่กำลังระบาด และคอยกัดกินความสุขของผู้คน

เมื่อเทียบกับชาวกะเหรี่ยงที่มีการศึกษาน้อยอย่างเหม่ย์ดี บางครั้งผมก็รู้สึกอิจฉาที่เขาไม่ต้องเกิดมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายแบบผม

หลายๆ ครั้งที่คำพูดของเหม่ย์ดีทำให้ผมรู้สึกดีจนยิ้มออกมาได้ เป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้จากชาวกะเหรี่ยงที่ไม่ได้มีการศึกษาอย่างสูงเหมือนอย่างพวกเราชาวเมือง

ครั้งหนึ่งเหม่ย์ดีเคยพูดกับพี่ๆ หมอฟันเอาไว้ว่า

“พี่ ๆ เนี่ยเกิดมาโชคดีนะครับที่ได้เป็นหมอ อาชีพที่ทำแล้วได้บุญที่สุด คือ ครู และหมอ ครูสอนคน ส่วนหมอรักษาคน เป็นอาชีพที่เสียสละเพื่อคนอื่น แต่คนที่ได้บุญมากที่สุดก็คือพ่อกับแม่ พ่อกับแม่คือคนที่เสียสละทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้ดี”

เป็นคำพูดที่ซื่อ...แต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกตีหัว...และได้คิดอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมา...

เหม่ย์ดีเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน และเป็นห่วงผู้อื่นเสมอ มีครั้งหนึ่งที่พี่หมอฟันลองถามแกล้งเหม่ย์ดีไปว่า “ทำไมแกดูอารมณ์ดีตลอดเวลา เกิดมาเคยเคอารมณ์เสียหรือเปล่า” เหม่ย์ดีก็ตอบไปว่า “เคยครับ แต่ว่าน้อยมาก ชีวิตผมมีความสุขมากกว่าความทุกข์หลายเท่าครับ”

หลายครั้งที่เหม่ย์ดีถามพี่ๆ หมอว่า “พี่มีความสุขไหม” บางคนก็จะถูกถามว่า “ทำไมพี่ถึงดูไม่มีความสุขในชีวิต?” และพูดสอนคนที่เป็นหมอว่า “พี่เป็นหมอ เวลารักษาคนไข้ พี่จะต้องมีความสุขให้มากๆ นะ คนไข้จะได้มีกำลังใจเข้ารักษา จะได้หายไวๆ ถ้าพี่ไม่มีความสุข ก็จะไม่ดีนะ”

ด้วยคำพูดซื่อๆ ของเขามันทิ้งบางสิ่งเอาไว้ให้ใครหลายๆ คนนำกลับไปคิด มันเตือนสติของใครหลายคน รวมถึงผม ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อความสุขของตัวเองและอย่าลืมที่จะแบ่งปันความสุขนั้นให้ผู้อื่นด้วย...

เหม่ย์ดีเป็นเพียงเด็กชาวกะเหรี่ยงอายุ 16 ปี ที่การศึกษาน้อยและเกิดมาในสังคมที่ยากจน...แต่จิตใจที่ดีของเขาถูกส่งต่อให้ผู้อื่นอย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งผิดกับหลายๆ คนในสังคมเมืองที่เรียนจบในระดับอุดมศึกษา แต่ต้องจมอยู่กับความเครียดและความขัดแย้ง หาความสุขตามสถานบันเทิงต่างๆ

ทั้งๆ ที่ได้กินอาหารดีๆ ทั้งปลาแซลมอน ซาชิมิ ตับห่าน เสต็กเนื้อโกเบ หมูคุโรบุตะ แต่กลับบอกว่า หวานเกินไป แข็งเกินไป มันเยอะเกินไป สุดท้ายก็ทิ้งขว้าง เหมือนไม่เห็นคุณค่าของอาหาร

แต่ในสังคมของชาวดอย เขากินเพียงข้าวที่ปลูกขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อของพวกเขาเอง ตำน้ำพริกมากินกับผักและของป่าที่เก็บมาได้ นานๆ ทีถึงจะได้กินเนื้อสัตว์สักครั้ง

แต่ดูพวกเขาจะรับรสชาติอร่อยมากเลยทีเดียว...กับการที่ได้กินข้าวที่ลงมือลงแรงปลูกขึ้นมาเอง

สำหรับพวกเขาแล้ว...มันอร่อยกว่าพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนซะอีก

สุขภาพของพวกเขาแข็งแรงทนทานกว่าพวกเรา ทำไม...คนที่มีการศึกษากลับไม่มีความสุขในชีวิต เป้าหมายของชีวิตเราคือการประสบความสำเร็จ มีทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้ มันทำให้เรามีความสุขจริงๆ ใช่ไหม..?

แล้วทำไม...เหม่ย์ดีผู้ที่เกิดมาไม่มีอะไรเลย ทั้งการศึกษา หรือ ทรัพย์สิน เกิดมามีเพียงแค่ไร่นาที่เป็นของครอบครัว

แต่ผมสัมผัสได้ถึงความสุขที่เขามี มากกว่าที่สัมผัสได้จากคนที่มีฐานะในสังคมเมืองด้วยซ้ำ

บางครั้งความสุขก็คือการพอ...พอใจในสิ่งที่เรามี เมื่อเรารู้จักพอแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปวิ่งตามอะไรให้เหนื่อยอีก ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าในสิ่งที่ยังไม่มีอีกต่อไป ขอเพียงกินให้อิ่มทุกมื้อ มีคนรอบกายคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แค่นั้นก็มีความสุขได้ไม่ใช่หรือ เราจะต้องการอะไรเยอะแยะล่ะ...?

ข้อคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะให้คนไทยทุกคนลองมองย้อนกลับมาดูครับ

หากเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น จงทำให้ดี และมีความสุขไปกับมัน และเมื่อประสบความสำเร็จแล้วจงอย่าลืมที่จะแบ่งปันมันให้กับสังคม

ประสบการณ์และการเรียนรู้ครั้งสำคัญบนดอยครั้งนี้ ซึ่งผมได้รับโอกาสจากมูลนิธิ พอ.สว. - ผมขอแบ่งปันให้กับทุกคนเช่นกันครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น