สธ. แจงดันวัคซีนเอชพีวีทั้ง 2 ชนิด เข้าบัญชียาหลักฯ เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี ป้องกันผูกขาดในอนาคต ย้ำทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ ประสิทธิภาพป้องกันไม่แตกต่างกัน
จากกรณี นายนิมิตร์ เทียนอุดม อดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ท้วงกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แทรกแซงการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยจะดันชนิด 2 สายพันธุ์เข้าบัญชี ทั้งที่คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติมีมติเห็นชอบแบบ 4 สายพันธุ์
วันนี้ (12 มิ.ย.) นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวขอชี้แจงดังนี้ 1. คณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคยืนยันว่า วัคซีนทั้ง 2 ชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน และสามารถใช้ทดแทนกันได้ 2. การเสนอวัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ เข้าไปในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยการเสนอของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในการจัดซื้ออย่างเสรีได้โดยไม่ผูกขาด เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ที่ต้องการให้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคาของผู้ขายมากกว่า 1 ราย และ 3. การบรรจุวัคซีนทั้ง 2 ชนิดในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นไปตามมติของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ
นพ.เจษฎา กล่าวว่า ในการจัดซื้อวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกครั้งนี้ ได้มีผู้ขายเสนอราคาสองรายและสามารถต่อรองราคาเหลือ 279.537 บาทต่อโดส ซึ่งเป็นราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมค่าจัดส่งวัคซีนแล้ว ช่วยให้ สธ. และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ประหยัดงบประมาณในจัดหาวัคซีนรวมกว่า 36.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาที่คณะทำงานต่อรองราคาภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ต่อรองวัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ 375.48 บาทต่อโดส ซึ่งหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในสตรี ในการดำเนินการได้คำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยประมาณร้อยละ 70 - 75 คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 เช่นเดียวกันกับในต่างประเทศ ในขณะนี้วัคซีนเอชพีวี มี 2 ชนิด คือ ชนิด 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 และชนิด 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากสองสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 16 และ 18 สำหรับการเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก จึงสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองชนิด ซึ่งวัคซีนเอชพีวี ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เท่ากัน และวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในต่างประเทศก็ยังมีการใช้อยู่ ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 29 ประเทศ เช่น สกอตแลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และ มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้ประมาณร้อยละ 90 - 100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
อนึ่ง ประเทศไทยจะนำวัคซีนเอชพีวีมาใช้ทั่วประเทศในระยะอันใกล้นี้ และวัคซีนชนิดนี้สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี สำหรับประเทศไทยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำให้ฉีดในเด็กหญิงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ซึ่งถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการได้รับวัคซีนและสอดคล้องตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน