กพย. ชี้ วัยรุ่นฮิตเสพ “ยาทรามาดอล” ทั้งที่ถูกจำกัดปริมาณซื้อขาย สะท้อนมาตรการคุมยา อย. มีช่องว่าง เผย ยาควบคุมหลายชนิดหลุดรอดเข้าไทยหลายตัว ทั้งสเตียรอยด์ และ ไซบูทรามีน แนะ อย. ยกระดับการควบคุม ด้าน อย. ห่วงกระทบการเข้าถึงยา ชี้ต้องแก้ตั้งแต่สถาบันครอบครัว
จากกรณีหญิงสาวคนหนึ่งโพสต์เรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กถึงอันตรายของยา “ทรามาดอล” หรือที่วัยรุ่นนิยมเรียกว่า “ยาเขียว-เหลือง” ตามสีของแคปซูล จนทำให้แฟนหนุ่มลุกจากที่นอนไม่ได้ มีอาการสมองเบลอ ความจำเสื่อม และขอให้วัยรุ่นที่ชอบกินยาเขียว-เหลืองเลิกกิน ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมวัยรุ่นที่นิยมนำยามาใช้ในทางที่ผิด
วันนี้ (21 ธ.ค.) ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า แม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะมีมาตรการควบคุมการกระจาย “ยาทรามาดอล” ซึ่งจัดเป็นยาอันตราย โดยจะต้องมีการรายงานจำนวนการซื้อขาย ตั้งแต่การนำเข้า การผลิต การส่งขายไปยังร้านขายยา และจากร้านขายยาไปถึงประชาชน แต่จากเรื่องที่เกิดขึ้นสะท้อนว่ากระบวนการในการควบคุมยังมีช่องว่างอยู่ ทำให้ยาสามารถหลุดรอดออกมาถึงกลุ่มคนที่นำยามาใช้ในทางที่ผิดได้ จึงอยากเสนอให้ อย. มีมาตรการการตรวจสอบให้มากขึ้นและจัดระบบการนำเข้าและการกระจายยาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“จริงๆ แล้วไม่ใช่มีแต่ยาทรามาดอลที่มีปัญหาเรื่องช่องว่างของการควบคุมการกระจายยา ทำให้เกิดการหลุดรอดของยาออกไปใช้ในทางที่ผิด ยังมีในส่วนของยาสเตียรอยด์ที่นำไปใช้ผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายด้วยที่มักเจอปัญหาเช่นเดียวกันและเป็นข่าวอยู่เนืองๆ รวมไปถึงยาไซบูทรามีนหรือยาลดความอ้วนที่ถูกถอดออกจากระบบยาในประเทศไทยไปแล้ว จัดเป็นยาที่ผิดกฎหมาย และทั่วโลกก็เลิกผลิตไปแล้ว แต่มักพบการนำมาผสมในอาหารเสริมจนกลายเป็นข่าวทำให้เสียชีวิตอยู่เสมอเช่นกัน นอกจากนี้ อาจมีช่องโหว่ในเรื่องการนำเข้าเช่นเดียวกับยาอีหรือไม่ เพราะหากกรมศุลการกรไม่ได้ให้ผู้นำเข้ายาต้องสำแดง อาจปล่อยให้ผ่านเข้าประเทศไทยอย่างไม่รู้ตัว” ภญ.นิยดา กล่าว
ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า กรณีวัยรุ่นที่เป็นข่าวคงต้องมีการดำเนินการตรวจสอบต่อ หากเกี่ยวข้องกับร้านขายยาก็ต้องมีการเอาผิดตามกฎหมายแน่นอน ส่วนการยกระดับมาตรการยาทรามาดอลนั้น ขระนี้ก้มีมาตรการควบคุมโดยต้องทำรายงานตั้งแต่การนำเข้าจากกรมศุลกากรว่านำเข้ามาเท่าไร รวมไปถึงตั้งแต่โรงงานที่ผลิตในประเทศไทยว่าผลิตออกมาจำนวนเท่าไร และมีการขายไปยังร้านขายยาจำนวนเท่าใด และขายไปยังประชาชนจำนวนเท่าใด โดยต้องส่งข้อมูลให้ อย. ผ่านระบบออนไลน์ และยังจำกัดปริมาณด้วยคือร้านขายยาซื้อมาได้ไม่เกิน 1,000 เม็ดต่อเดือน และขายให้แก่ประชาชนได้ไม่เกิน 10 เม็ด และห้ามขายให้คนอายุต่ำกว่า 17 ปี ซึ่งมาตรการนี้ก็ถือว่าเพียงพอ การจะยกระดับมาตรการขึ้นไปอีกก็จะกระทบการเข้าถึงยาสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยา ซึ่งถามว่า อย. ยกระดับได้ไหมก็สามารถทำได้ เช่น ควบคุมให้ยาทารมาดอลมีขายแต่ในโรงพยาบาลอย่างเดียวก็ทำได้ แต่ถามว่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องวัยรุ่นนำย่าไปใช้เป็นสิ่งเสพติดหรือไม่ หากทำได้ อย.ก็พร้อมทำ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เพราะเมื่อควบคุมยาทรามาดอล สุดท้ายก็จะหันไปใช้ยาตัวอื่นอีก ก็จะวนเวียนไปเรื่อยๆ
“การแก้ปัญหาวัยรุ่นนำยาที่เป็นประโยชน์มาใช้เป็นสิ่งเสพติด ตรงนี้ต้องช่วยกันแก้ไข และต้องเริ่มตั้งแต่ครอบครัวที่ต้องให้ความรักความบอุ่นกับลูก ป้องกันไม่ให้ลูกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สถานศึกษาก็ต้องให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีการจัดกิจกรรม เช่น กีฬา ดนตรี เพื่อดึงเด็กให้ออกห่สงจากเรื่องนี้ การควบคุมการเข้าถึงยาเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และมีความยากที่จะควบคุมยาอย่างไรให้เหมาะสมและสมดุล ไม่ให้กระทบการเข้าถึงยา และไม่ง่ายต่อการที่วัยรุ่นจะนำเอาไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนปัญหาที่ว่าเป็นการลักลอบนำเข้ายามาจากต่างประเทศหรือไม่ ในทางปฏิบัติถือว่าควบคุมได้ยาก โดยเฉพาะชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน” รองเลขาธิการ อย. กล่าว