บอร์ด สปสช. เห็นชอบจัดทำข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทองต่อเนื่อง 2 ปี 2561 - 2562 ช่วยเห็นภาพรวมความต่อเนื่องใช้งบประมาณ คาด งบประมาณเพิ่มขึ้นจากการจัดหาวัคซีนเอชพีวีป้องกันมะเร็งปากมดลูก 300 ล้านบาท เพิ่มการให้บริการการแพทย์แผนไทยและยาสมุนไพร
วันนี้ (8 ธ.ค.) ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีวาระการพิจารณาข้อเสนอนโยบายงบประมาณเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2561 - 2562 โดย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ประธานบอร์ด สปสช. กล่าวว่า บอร์ดฯ มีมติเห็นชอบให้มีการทำข้อเสนอเพื่อขออนุมัติกรอบวงเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อเนื่อง 2 ปี คือ ปี 2561 - 2562 เพื่อความต่อเนื่องของการจัดทำคำของบประมาณสำหรับเตรียมการรองรับการดูแลสุขภาพประชาชน และทำให้เห็นความต่อเนื่องของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งเดิมเป็นการทำแบบปีต่อปี อย่างไรก็ตาม ข้อเสนองบประมาณปี 2562 สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามตัวแปรต่างๆ เช่น ปริมาณการเข้าถึง ต้นทุน สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และนโยบายที่มีการเปลี่ยนแปลง และต้องมีการนำเสนอเข้า ครม. อีกครั้ง
นางชุมศรี พจนปรีชา ประธานอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุน กล่าวว่า การจัดทำข้อเสนอนโยบายงบประมาณกองทุนบัตรทองในปีงบประมาณต่อไปนั้น คณะอนุฯ เห็นควรว่าควรจัดทำข้อเสนองบประมาณต่อเนื่อง 2 ปี เพื่อความต่อเนื่องและเตรียมพร้อมงบประมาณรองรับบริการสุขภาพเพื่อประชาชน โดยได้หารือร่วมกับ คณะกรรมการร่วม 7x7 (กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.) คณะทำงานวิชาการ และรับฟังข้อเสนอจากกลุ่มต่างๆ และนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ ก่อนนำเสนอเป็นมติบอร์ด สปสช. โดยการทำข้อเสนองบประมาณครั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ดูแลประชากรตามสิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ รพ. มีความคล่องตัวในการให้บริการ สำหรับการดำเนินการต่อจากนี้ในการประชุมบอร์ด สปสช. ครั้งหน้าจะสามารถเสนอข้อเสนองบกองทุนปี 2561 - 2562 เพื่อให้บอร์ดพิจารณาได้ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา รักษาการเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หลักการทำข้อเสนองบประมาณ มี 5 ด้าน คือ 1. ด้านหลักการทั่วไป คือ ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดทำข้อเสนอ ให้เป็นไปตามประเภทค่าใช้จ่ายตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้มีงบประมาณเพียงพออย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการอุดหนุนข้ามระบบกับระบบประกันสุขภาพอื่น เป้าหมายและความครอบคลุมการให้บริการนั้น ให้กำหนดตามศักยภาพของระบบบริการที่จะพัฒนาได้ และคำนึงถึงเป้าหมายตามเขตบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวงสาธารณสุข เน้นใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการประมาณการเป้าหมายและงบประมาณ โดยเป็นงบประมาณแบบปลายปิด หากประชากรเพิ่มมากกว่าเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณให้ดำเนินการของบประมาณเพิ่มเติม
2. ด้านโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขนั้น ไม่รวมค่าตอบแทนที่หน่วยงานได้รับโดยตรงตาม พ.ร.บ. งบประมาณฯ ได้แก่ พตส. และค่าตอบแทนฉบับ 8, 9 ไม่รวมงบลงทุนใหม่เพื่อยกระดับศักยภาพสำหรับหน่วยบริการภาครัฐ ไม่รวมการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการที่จะเกิดขึ้นภายหลัง แต่จะรวมเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการตามคำสั่ง คสช. และรวมต้นทุนของหน่วยบริการรัฐและเอกชนทั้งหมดในระบบ ที่สำคัญคือ ต้องจำแนกต้นทุนของพื้นที่ทุรกันดาร เสี่ยงภัย พื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงกว่าพื้นที่อื่นให้ชัดเจน 3. ด้านบริการสาธารณสุขและกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เน้นส่งเสริมป้องกันโรค เพิ่มกิจกรรมที่สนับสนุนความรู้ด้านสุขภาพเพื่อให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองได้ ความเข้มแข็งของระบบบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชน เพิ่มการใช้บริการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาสมุนไพรใน รพ. บริการสาธารณสุขสำหรับกลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง กลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มพระภิกษุ และกันวงเงินบริการกรณีเฉพาะไม่เกิน 12% ของอัตราเหมาจ่ายรายหัว 4. ด้านประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง ต้องคำนึงถึงต้นทุนที่สามารถประหยัดได้โดยคงคุณภาพบริการ เช่น การจัดซื้อรวม (ยา, วัคซีน, อุปกรณ์บำบัดรักษา) และ 5. ด้านอื่นๆ เช่น คำนึงถึงต้นทุนในการสนับสนุนการใช้บัญชีนวัตกรรม เป็นต้น
“งบประมาณที่อาจเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เช่น มีการพิจารณาของยาราคาแพงและวัคซีนรายการใหม่ คือ วัคซีนเอชพีวี ที่อยู่ประมาณ 300 ล้านบาท หรือการเพิ่มการบริการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาสมุนไพรใน รพ. ซึ่งประธานบอร์ด สปสช. ก็ย้ำว่า ต้องทำให้เห็นชัดเจนว่า แม้จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วยได้อย่างไร เช่น วัคซีนเอชพีวี ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการป่วยมะเร็งปากมดลูกได้อย่างไร การใช้ยาสมุนไพรช่วยลดการนำเข้ายาหรือการใช้ยาได้อย่างไร เป็นต้น” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว