xs
xsm
sm
md
lg

ชายไทยเกือบครึ่ง “ซุกกิ๊ก-คบเผื่อเลือก” เมาแล้วทำร้ายแฟน-ข่มขืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผลสำรวจพบ “สามี/แฟนหนุ่ม” กว่า 80% เคยตะคอกเสียงดังใส่ “ภรรยา - คนรัก” กว่า 70% ใช้คำหยาบคายเมื่อโมโห แอบซุกกิ๊ก คบเผื่อเลือก เกือบครึ่งเมาแล้วทำร้ายแฟน บังคับมีเซ็กซ์ ห่วง 1 ใน 3 มองผู้หญิงเป็นสมบัติของสามี จี้ พม. ปรับทัศนคติชายเป็นใหญ่ ศธ. ปรับหลักสูตร ส่งเสริมการสอนบทบาทหญิงชาย เคารพสิทธิระหว่างเพศ

วันนี้ (21 พ.ย.) ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กปี 2559 ภายใต้แนวคิด “คุณทำได้ ผู้ชายตัวจริง ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก” โดย น.ส.อุสุมา เกตุท่าหัก เจ้าหน้าที่ฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เดือน พ.ย. เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ต้องการสื่อสารไปยังผู้ชายที่ยังมีแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ จนนำมาซึ่งการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ สะท้อนจากผลสำรวจล่าสุดปี 2559 ต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในกลุ่มผู้ชายจำนวน 1,617ตัวอย่าง อายุ 20-35 ปีในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด พบว่า ผู้ชายกว่า 80% เคยพูดตะคอกเสียงดัง ต่อภรรยาและคนรัก อีกทั้ง 74.7% มักจะใช้คำหยาบคายเมื่อโมโห ชอบระบายอารมณ์ ที่น่าห่วงคือ 71.7% แอบมีกิ๊ก คบกับผู้หญิงหลายคน เผื่อเลือก และเมื่อเกิดอารมณ์โมโห สิ่งที่ผู้ชายเลือกทำคือ 57.3% ทำลายข้าวของในบ้าน 68.9% ออกไปดื่มเหล้านอกบ้าน ที่น่าห่วงคือ 44.8% เมื่อดื่มเหล้าจนเมาแล้วจะทำร้ายภรรยาหรือแฟน อีกทั้ง 42.4% ยังบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย

น.ส.อุสุมา กล่าวว่า เมื่อถามว่า หากพบเห็นการทำร้ายร่างกายและการใช้ความรุนแรง กลุ่มตัวอย่าง 12.9% เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไปห้าม ทั้งนี้ผู้ชาย 1 ใน 3 มองผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องเป็นสมบัติของสามี ต้องดูแลงานบ้าน ดูแลลูก มองว่า ผู้ชายเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัว ขณะที่ผู้ชาย 1 ใน 4 เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า “ผู้ชายไม่เจ้าชู้เหมือนงูไม่มีพิษ” “ผู้ชายตัวจริงต้องกินเหล้า” และการคุมกำเนิดต้องเป็นหน้าที่ฝ่ายหญิง ที่สำคัญกว่านั้น ยังมีถึง 14% ระบุว่า การที่ผู้ชายใช้ความรุนแรงเป็นเพราะหึงหวง ต้องการแสดงออกว่ารัก รวมถึงระบุว่าหากมีโอกาสแล้วไม่ล่วงเกินผู้หญิงถือว่าไม่ฉลาด

“จากผลสำรวจข้างต้น มูลนิธิขอฝากเป็นข้อเสนอ คือ ระดับบุคคลและครอบครัว ควรปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู เน้นเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ไม่ใช้ความรุนแรง ให้เกียรติกัน ผู้ชายสามารถทำงานบ้านช่วยเหลือผู้หญิงได้ ขณะเดียวกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรรณรงค์กับผู้ชายอย่างต่อเนื่องจริงจัง เพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนทัศนคติระบบคิดแบบชายเป็นใหญ่ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ใช้ความรุนแรง และประชาสัมพันธ์ช่องทางการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรปรับหลักสูตรในประเด็นบทบาทหญิงชาย มีการอบรมความรู้ความเข้าใจในปัญหาความรุนแรงในครอบครัวให้กับครูในสังกัดกระทรวงศึกษาฯ เพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดและสร้างทัศนคติให้กับเด็กมีการเคารพสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ ส่วนสื่อมวลชนเองไม่ควรผลิตซ้ำภาพความรุนแรงในครอบครัว ควรเน้นการนำเสนอความเท่าเทียม การให้เกียรติ และทางออกในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง” น.ส.อุสุมา กล่าว

นายอำนาจ แป้นประเสริฐ อายุ 35ปี ผู้ที่เคยกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง จนปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักรณรงค์แก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง กล่าวว่า กว่า 5 ปีที่ใช้ความรุนแรงกับภรรยา ทั้งทำร้ายร่างกายตบตีใช้คำพูดดูถูกเสียดสีด่าทอมาโดยตลอด เวลาเมาสุรากลับมามักหงุดหงิดโมโหร้าย และจบลงด้วยการทำร้ายร่างกาย กระทั่งเกิดจุดเปลี่ยน คือ ได้เห็นผลกระทบในครอบครัวลูกมีปัญหา ครอบครัวขาดความอบอุ่น และภรรยาทนไม่ไหวขอหย่า อีกทั้งยังได้เข้าร่วมงานกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จนฉุกคิดได้กลับมาเห็นความสำคัญของผู้หญิงมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่หยุดความรุนแรงทุกอย่าง ผันตัวเองเป็นแกนนำรณรงค์แก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในที่สุด

นางธชพรรณ บริเพ็ชร์ อายุ 52 ปี ประธานชุมชนบ้านแบบ เขตสาทร กทม. กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานในชุมชน สิ่งที่พบเห็นเป็นประจำ คือ การใช้ความรุนแรง เช่น สามีเอามีดไล่ฟันเมียจนเลือดอาบ พ่อกักขังทารุณลูก พ่อเลี้ยงละเมิดทางเพศลูกเลี้ยง หลานทำร้ายร่างกายยาย ลูกเลี้ยงทำร้ายแม่เลี้ยง หลานข่มขืนน้า ซึ่งปัจจัยกระตุ้น คือ เหล้า ยาเสพติด พนัน และความหึงหวง ทั้งนี้ จุดที่ทำให้ต้องมาทำงานรณรงค์แก้ไขปัญหาความรุนแรงในชุมชน คือ ในอดีตเคยรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่มารู้ภายหลังว่าเพื่อนถูกรุมโทรมในวงเหล้า หากครั้งนั้นถ้าเราดึงเพื่อนออกมา คงไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาความรุนแรงป้องกันได้ถ้าสังคมและทุกฝ่ายจริงจัง ซึ่งหน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำงานด้วยใจ เข้าไม่ถึงปัญหา ตำรวจเองก็ยังไม่อยากรับแจ้งความมองเป็นแค่เรื่องสามีภรรยา ทั้งที่ในความเป็นจริงรวมทั้งข้อกฎหมายแล้วความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ซึ่งหากพบเห็นต้องแจ้งตำรวจในพื้นที่ หรือ 1300 ของ พม. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล 02-5132889

กำลังโหลดความคิดเห็น