นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
วันที่ 19 และ 26 ตุลาคม 2559 จะมีการเปิดรับซองประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และ ท่าเรือขนถ่านหินสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา คนในพื้นที่มีความเห็นและคำถามสำคัญ คือ การเปิดประมูลโดยที่ EHIA ยังไม่ผ่าน และโครงการยังไม่อนุมัติ กฟผ. ใช้อำนาจตามกฎหมายใด หรือแท้จริงมั่วนิ่ม
กฟผ. เผยแพร่กระบวนการการคัดเลือกผู้รับเหมาโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเรือ ว่า ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ 1) กฟผ. จัดทำเอกสารประกวดราคา 2) ผู้รับเหมาซื้อซองประกวดราคาและจัดทำข้อเสนอ 3) กฟผ. พิจารณาข้อเสนอและคัดเลือกผู้รับเหมา ซึ่งในแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เพื่อให้สามารถจัดสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้รวดเร็ว จึงขอทำการประมูลไปพลางก่อน โดยไม่มีการลงนามจัดซื้อจัดจ้าง จะลงนามเมื่อ EHIA ผ่านและรัฐบาลอนุมัติแล้วเท่านั้น จะได้ลัดขั้นตอนก่อสร้างตอกเสาเข็มได้เลยในทันทีที่อนุมัติ
ฟังดูเผิน ๆ เป็นหลักการก็ดูดี แต่ในความเป็นจริง การจะเปิดประมูลไปก่อนได้นั้น แบบแปลนต้องนิ่ง ชุมชนต้องเห็นพ้อง แต่เมื่อลัดขั้นตอนทำคู่ขนาน ปรากฏว่า รายงานผลกระทบวิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ก็ยังต้องปรับอีกเป็นหลายร้อยข้อ แบบแปลนยังต้องปรับ เครื่องบำบัดมลพิษก็ยังอาจต้องใส่ระบบเพิ่ม ความขัดแย้งในชุมชนก็ยังสูง ความรู้สึกที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ยังมาก การลัดขั้นตอนซึ่งเป็นการมองในมุมที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเพียงข้างเดียวจึงเป็นการตอกลิ่มให้ยิ่งแตกแยกกันมากขึ้น
สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่นั้น ได้มีการเปิดรับซองและได้ผู้ชนะการประมูลไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือ กิจการค้าร่วม พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น คอร์เปอเรชั่น ออฟไชน่า และ บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการประกาศผู้ชนะการประมูล ท่ามกลางความรู้สึกว่าคำสั่ง คสช. ที่ 9/2559 นั้นเป็นกฏหมายที่เอื้อให้ กฟผ. ทำการประมูลก่อนการอนุมัติโครงการได้นั้น เป็นการทำงานหลักนิติรัฐและธรรมาภิบาลของกลไกรัฐ ซึ่งโดยปกติรัฐวิสาหกิจหรือส่วนราชการจะไม่สามารถทำอะไรที่ผิดขั้นตอนเช่นนี้ได้
คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 9/2559 ว่าด้วย “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ” ใจความสำคัญของคำสั่งดังกล่าวสามารถเปิดช่องทางหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการลัดขั้นตอนจัดหาผู้รับเหมาก่อนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสร็จสิ้นได้
แต่ในคำสั่งระบุชัดว่าขอบเขตของคำสั่งนี้ คือ “ในกรณีที่มีความจําเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการดําเนินโครงการ หรือกิจการด้านการคมนาคมขนส่งการชลประทาน การป้องกันสาธารณภัย โรงพยาบาล หรือที่อยู่อาศัย “ซึ่งไม่ได้ระบุเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานหรือโรงไฟฟ้าไว้ ส่วนท่าเรือขนถ่ายถ่านหินนั้น ก็ไม่ใช่กิจการด้านการคมนาคมขนส่ง เพราะใช้ขนถ่านหินเข้าโรงไฟฟ้าไม่ใช่เพื่อการคมนาคม จึงเป็นการตีความอย่างศรีธนญชัย
ดังนั้น หาก กฟผ. ใช้อำนาจตามกฎหมายจากคำสั่งที่ 9/2559 นี้ เสนอให้ ครม. อนุมัติในการจัดการประมูลหาผู้รับเหมาไปพลางก่อนระหว่างที่ EHIA ยังไม่เสร็จนั้น เท่ากับเป็นการมั่วนิ่มเกินขอบเขตที่คำสั่งที่ 9 กำหนดไว้ แต่หากไม่ได้อ้างคำสั่ง คสช. ที่ 9/2559 นี้ ก็ไม่ปรากฏว่า มีกฎหมายใดที่จะยกเว้นให้ลัดขั้นตอนของ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้
การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นประเด็นถกเถียงที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน เป็นประเด็นประชาธิปไตยฐานรากที่ประชาชนต้องมีสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง โครงการขนาดใหญ่ของรัฐเองยิ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด การจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้นั้น กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ต้องอย่าลักไก่และมั่วนิ่ม เรื่องนี้ประชาชนต้องการคำตอบชัด ๆ จากรัฐบาล และ กฟผ.
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่