ทันตแพทยสภายื่นหนังสือถึง รมว.วิทย์ แนะออกกฎกระทรวงตามปริมาณรังสีเครื่องเอกซเรย์ฟัน เสนอยกเว้นออกใบอนุญาตครอบครองเครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมขนาดเล็ก เหตุมีปริมาณรังสีน้อยมากไม่มีผลกระทบ ส่วนเครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมขนาดใหญ่ให้ออกกฎกระทรวงตามปริมาณรังสี พร้อมเตรียมเข้าพบ รมว.วิทย์ เพื่อหารือกฎเกณฑ์ที่จะออกตามมาหลังกฎหมายพลังงานนิวเคลียร์ฉบับใหม่ จะมีผลบังคับใช้ 1 ก.พ. 60
ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า ตามที่ พ.ร.บ. พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป ได้กำหนดให้เครื่องกำเนิดรังสี หรือเครื่องเอกซเรย์ทางทันตกรรม จะต้องมีใบอนุญาตครอบครองเครื่องกำเนิดรังสีและผู้ใช้งานจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยด้านรังสี ซึ่งต้องสอบเพื่อรับใบอนุญาต และคลินิกทันตกรรมทุกแห่งต้องมีเครื่องเอกซเรย์ที่มีมาตรฐานซึ่งเป็นไปตามที่ พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ได้บังคับไว้ ดังนั้น จะมีคลินิกทันตกรรมกว่า 6,000 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติฉบับใหม่นี้ ทางทันตแพทยสภาจึงได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. นี้ และเตรียมเข้าพบเพื่อหารือประเด็นดังกล่าว
นายกทันตแพทยสภา กล่าวต่อว่า ทันตแพทยสภาสนับสนุนเจตนารมณ์กฎหมายฉบับนี้ ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยของประชาชน และบุคลากรสาธารณสุขต่อผลกระทบที่อาจจะได้รับจากปริมาณรังสี แต่เครื่องเอกซเรย์ที่ใช้ทางทันตกรรมนั้น ปริมาณรังสีที่ใช้ต่อครั้งมีน้อยมาก จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองรังสี (International Commission on Radiological Protection: ICRP) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่เป็นผู้รวบรวมข้อมูลและคำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้รังสีระดับนานาชาติ พบว่า ปริมาณรังสีที่ถ่ายด้วยเครื่องเอกซเรย์ฟันจะมีปริมาณรังสีเพียง 0.0095mSv ถึง 0.0216mSv ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์ม ในขณะที่ปริมาณรังสีสะสมที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื้อเยื่อต้องได้รับรังสีสูงถึง 500mSv หรือเท่ากับการถ่ายเอกซเรย์ฟันถึง 23,000 ถึง 52,000 ฟิล์ม ในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเอกซเรย์มากขนาดนั้นในคลินิกทันตกรรม อีกทั้งในการถ่ายภาพรังสีทางทันตกรรมมีการใส่เสื้อตะกั่วป้องกัน รวมทั้งมีฉากตะกั่วหรือกำแพงหนาที่สามารถกันรังสีได้
ดังนั้น ทันตแพทยสภาจึงมีข้อเสนอว่า ในการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. นี้ สำหรับการออกใบอนุญาตครอบครองเครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมรวมทั้งค่าธรรมเนียมนั้น ทันตแพทยสภาจะขอให้มีการพิจารณาออกกฎกระทรวง โดยขอให้คำนึงถึงประเภท ชนิด ขนาด หรือระดับของเครื่องกำเนิดรังสี หรือเครื่องเอกซเรย์ให้ตรงกับความเป็นจริงของเครื่องกำเนิดรังสีที่ใช้ทางทันตกรม โดยจะเสนอให้ยกเว้นกับเครื่องเอ็กซเรย์ทันตกรรมขนาดเล็ก ส่วนเครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมที่มีขนาดใหญ่นั้นเสนอให้ออกกฎกระทรวงดูแลให้เป็นไปตามปริมาณรังสี
ทพ.ไพศาล กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการสอบใบอนุญาต เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี หรือ RSO (radiation safety officer) นั้น ทันตแพทยสภาจะขอให้ทบทวนเช่นกัน เนื่องจากในหลักสูตรทันตแพทยศาสตร์บัณฑิตมีการเรียนการสอนเรื่องนี้ และทันตแพทย์ก็ได้ผ่านการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่มีเนื้อหาของการใช้รังสีทางทันตกรรมที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จึงมีความรู้เพียงพอในการดูแลและใช้เครื่องมือได้ถูกต้อง ปลอดภัย
“ทันตแพทยสภาสนับสนุนเรื่องความปลอดภัยการใช้รังสีทางการแพทย์ต่อประชาชนและบุคลากรสาธารณสุข แต่จากข้อเท็จจริงที่ปริมาณรังสีจากเครื่องเอกซเรย์ทันตกรรมมีน้อยมาก และอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อประชาชน จึงขอให้พิจารณาการออกกฎกระทรวงโดยคำนึงถึงปริมาณรังสีและความจำเป็นเป็นสำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า” นายกทันตแพทยสภา กล่าว