จัดประชุมสมาพันธ์นักเภสัชวิทยาฯ ระดมสมองสร้างความมั่นคงด้านยา เน้นพัฒนายาสมุนไพรให้ใช้ได้จริงในตลาดสากล
วันนี้ (1 ก.พ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการของสมาพันธ์นักเภสัชวิทยาแห่งเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 13 ว่า บทบาทของเภสัชวิทยา มีส่วนสำคัญในการค้นพบยาและการวิจัยพัฒนาโรคต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาในระบบสาธารณสุข รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านเภสัชวิทยาใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการประชุมดังกล่าวเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและความร่วมมือในสาขาเภสัชวิทยาระหว่างภูมิภาคให้เกิดความมั่นคงด้านยา หัวข้อที่เน้นหนัก คือ การพัฒนายาสมุนไพรให้ใช้ได้จริงในตลาดสากล สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ และ สธ. ที่เร่งรัดการวิจัยและพัฒนาส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและการแพทย์แผนไทยให้มีคุณภาพครบวงจรและเกิดผลดีต่อประเทศ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรและยาสมุนไพรให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนดอาเซียน เพิ่มการส่งออก พัฒนาให้เป็นที่นิยมติดตลาด สามารถใช้เป็นยาสามัญประจำบ้าน เสริมสร้างเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งปัจจุบันการรักษาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้ผลักดันการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ โดยเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยคู่ขนานกับคลินิกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลของรัฐร้อยละ 70 รวมทั้งบรรจุยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 85 รายการ เป็นทางเลือกให้ประชาชนเลือกใช้เมื่อเจ็บป่วย โดยข้อมูลสำนักสถิติแห่งชาติ สำรวจพฤติกรรมการดูแลรักษาตัวเองด้วยแพทย์แผนไทยของครัวเรือน ปี 2556 พบว่า ประชาชนร้อยละ 21.9 รู้จักและเคยใช้สมุนไพร โดยตัดสินใจใช้เมื่อมีอาการป่วยเล็กน้อยร้อยละ 82.2 โรคที่เจ็บป่วยและใช้สมุนไพร มากที่สุด 5 อันดับ คือ โรคระบบกล้ามเนื้อ/กระดูก ระบบทางเดินหายใจ/หอบหืด ไข้หวัด โรคท้องเสีย/ท้องเดิน โรคระบบทางเดินอาหาร/กระเพาะอาหาร
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (1 ก.พ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดประชุมวิชาการของสมาพันธ์นักเภสัชวิทยาแห่งเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 13 ว่า บทบาทของเภสัชวิทยา มีส่วนสำคัญในการค้นพบยาและการวิจัยพัฒนาโรคต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาในระบบสาธารณสุข รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมด้านเภสัชวิทยาใหม่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการประชุมดังกล่าวเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและความร่วมมือในสาขาเภสัชวิทยาระหว่างภูมิภาคให้เกิดความมั่นคงด้านยา หัวข้อที่เน้นหนัก คือ การพัฒนายาสมุนไพรให้ใช้ได้จริงในตลาดสากล สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ และ สธ. ที่เร่งรัดการวิจัยและพัฒนาส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและการแพทย์แผนไทยให้มีคุณภาพครบวงจรและเกิดผลดีต่อประเทศ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรและยาสมุนไพรให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนดอาเซียน เพิ่มการส่งออก พัฒนาให้เป็นที่นิยมติดตลาด สามารถใช้เป็นยาสามัญประจำบ้าน เสริมสร้างเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งปัจจุบันการรักษาและผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้ผลักดันการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ โดยเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยคู่ขนานกับคลินิกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลของรัฐร้อยละ 70 รวมทั้งบรรจุยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 85 รายการ เป็นทางเลือกให้ประชาชนเลือกใช้เมื่อเจ็บป่วย โดยข้อมูลสำนักสถิติแห่งชาติ สำรวจพฤติกรรมการดูแลรักษาตัวเองด้วยแพทย์แผนไทยของครัวเรือน ปี 2556 พบว่า ประชาชนร้อยละ 21.9 รู้จักและเคยใช้สมุนไพร โดยตัดสินใจใช้เมื่อมีอาการป่วยเล็กน้อยร้อยละ 82.2 โรคที่เจ็บป่วยและใช้สมุนไพร มากที่สุด 5 อันดับ คือ โรคระบบกล้ามเนื้อ/กระดูก ระบบทางเดินหายใจ/หอบหืด ไข้หวัด โรคท้องเสีย/ท้องเดิน โรคระบบทางเดินอาหาร/กระเพาะอาหาร
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่