แพทย์แนะกิน “โฟเลต” ก่อนมีเซ็กซ์ 6 สัปดาห์ ถึงช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือน ช่วยป้องกันเด็กพิการแต่กำเนิด เผย ไทยมีทารกพิการปีละ 4% หรือราว 40,000 คน สธ. เร่งจ่ายวิตามินรวมโฟเลต - ไอโอดีน - เหล็ก หญิงวัยเจริญพันธุ์ หาวิธีผสมลงในอาหาร
วันนี้ (27 ม.ค.) ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ศ.เกียรติคุณ พญ.พรสวรรค์ วสันต์ นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการทำโครงการร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ประเทศไทยร้อยละ 40 ของหญิงตั้งครรภ์มีปัญหาตัวซีด ส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีปัญหาเรื่องเชาวน์ปัญญาต่ำ พิการแต่กำเนิด ติดเชื้อง่าย เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันต้องหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และสารเสพติด ที่สำคัญคือ การได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอระหว่างที่มีการตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตมีผลต่อการสร้างดีเอ็นเอ สร้างตัวอ่อน การที่แม่มีโฟเลตต่ำจะทำให้ดีเอ็นเอแบ่งตัวไม่พอต่อการแบ่งเซลล์ อวัยวะหลายอย่างตาย เด็กที่เกิดมาไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ปากแหว่งเพดานโหว่ แขน ขาพิการ หัวใจพิการ เป็นต้น จึงจำเป็นต้องดูแลตั้งแต่ต้น คือ การให้โฟเลตในหญิงวัยเจริญพันธุ์อายุ 15 - 49 ปีตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้
ศ.นพ.วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การป้องกันความพิการตั้งแต่กำเนิดให้ได้ผล ควรรับประทานโฟเลตก่อนการตั้งครรภ์ โดยหลักการควรรับประทานขนาด 0.4 มิลลิกรัม ก่อนมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ จนถึงขณะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เพื่อป้องกันความพิการรุนแรง แต่กำเนิดสมอง ไขสันหลัง หัวใจ แขน ขา ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบทางเดินอาหาร ได้ร้อยละ 50 โดยเฉพาะความพิการทางด้านสมองและไขสันหลังนั้นสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 70 ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเป็นแนวทางปฏิบัติในการลดความพิการตั้งแต่กำเนิดสำหรับทุกประเทศทั่วโลก และประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ได้ออกเป็นกฎหมายในการเสริมโฟเลตในหญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคน และให้มีการผสมลงในอาหารด้วย
“ผลจากมาตรการดังกล่าวทำให้ลดอัตราเด็กพิการแต่กำเนิดลงได้กว่าร้อยละ 50 อัตราการความพิการน้อยกว่าร้อยละ 2 ในปัจจุบัน ส่วนประเทศในเอเชีย ยังไม่มีประเทศใดออกเป็นกฎหมายมีเพียงประกาศแนวทางไว้เท่านั้น ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ส่วนตัวเห็นด้วยให้มีการประกาศเป็นกฎหมายแต่ถ้าจะผสมลงในอาหารนั้นอาจจะทำได้ยากเนื่องจากอาหารของไทยนั้นหลากหลายมาก” ศ.นพ.วรศักดิ์ กล่าวและว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีทารกพิการตั้งแต่กำเนิดประมาณ 3 - 4% เฉลี่ยเกือบ 40,000 คนต่อปี ถือเป็นอัตราที่คงที่ แต่หากเราเริ่มเสริมโฟเลตก็จะสามารถลดความพิการลงได้ครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 20,000 คน ต่อปี เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับการให้โฟเลต ซึ่งราคาเม็ดละไม่ถึง 1 บาท
ศ.นพ.วรศักดิ์ กล่าวว่า ในคนปกติกินโฟเลตแล้วก็ไม่มีอันตราย เพราะเป็นวิตามินที่ละลายน้ำไม่เกิดการสะสมในตับ ส่วนข้อกังวลว่าจะไปทำให้โรคขาดวิตามินบี 12 มีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการนั้นที่อเมริกาใช้มา 10 ปี ก็ไม่พบพปัญหาตามที่กังวลเขาจึงได้ออกเป็นกฎหมาย สำหรับในอาหาร เช่น ผักใบเขียวสด ๆ จะมีโฟเลตเช่นกัน แต่จากค่าเฉลี่ยการได้รับโภชนาการของคนไทยแล้ว พบว่า มีโฟเลตเพียง 100 ไมโครกรัมเท่านั้น แต่ขนาดที่ต้องการ คือ 400 ไมโครกรัม การเพิ่มการรับประทานให้ได้มากถึง 4 เท่านั้นเป็นเรื่องยาก จึงเน้นเสริมในลักษณะของวิตามินดีกว่า
ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการศึกษาการให้โฟเลตแบบสมัครใจ คือให้สิทธิประโยชน์ในการรับวิตามินรวมเหล็ก ไอโอดีน และโฟเลตสำหรับกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์สัปดาห์ละ 1 เม็ด ตรงนี้อยู่ระหว่างการวางแผนว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ใช้งบประมาณไม่มาก เนื่องจากราคาเม็ดละไม่ถึงบาท ในขณะที่หญิงวัยเจริญพันธุ์อายุ 15 - 49 ปีของไทยรายงานปี 2557 มี 17,789,671 คน และหากยังเข้าไม่ถึงการได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอก็จะมีมาตรการบังคับด้วยการผสมลงไปในอาหารโดยไม่ทำให้คุณค่าและรสชาติเสียไป ขณะนี้กำลังดูว่าจะเสริมโฟเลตเข้าไปในอาหารชนิดใดได้บ้าง เช่น ผผสมเข้าไปในแป้งสาลี แป้งข้าวโพด หรือใส่ในกลุ่มเครื่องปรุง เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป
พล.ท.อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ความพิการแต่กำเนิดนั้นถือเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วโลก ในครอบครัวที่มีคนพิการ 1 คน ก็เท่ากับพิการทั้งครอบครัว ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 600 - 7,000 ล้านบาทต่อปี แต่ถ้าจัดหายาเม็ดโฟเลตซึ่งราคาไม่ถึง 1 บาทให้กับหญิงตั้งครรภ์ หรืออนาคตสามารถผสมในอาหารได้ก็จะช่วยลดความพิการในเด็กได้จำนวนมาก ครอบครัว ประเทศก็ไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายมาก
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่