โดย...รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โรคเอดส์ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ไม่ต่างจากคนปกติ หากสามารถรักษาระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของการรักษา ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ให้ในผู้ป่วยที่มีเกณฑ์ต้องเริ่มยา ก็ให้เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวไวรัส และรักษาระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อยู่ตามเกณฑ์ ที่เรียกว่าค่า CD4
สำหรับสมุนไพรไทยนั้น มีหลายชนิดที่ได้มีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยเอดส์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดยาต้านไวรัสแผนปัจจุบันแล้วมาใช้สมุนไพรอย่างเดียว แต่ควรใช้สมุนไพรเป็นส่วนเสริมการรักษาเท่านั้น
ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้นำข้อมูลของสมุนไพรรสขม 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ ฟ้าทะลายโจร และมะระขี้นก มานำเสนอให้เป็นสมุนไพรทางเลือก โดยมีการศึกษาขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา (Bastyr University, Washington) เกี่ยวกับการใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 18 คน โดยทดลองให้รับประทานฟ้าทะลายโจรในขนาด 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มขนาดเป็น 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มขนาดเป็น 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมีค่า CD4 ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (เฉลี่ย 405 เซลล์ เพิ่มขึ้นเป็น 501 เซลล์ โดยเห็นผลตั้งแต่ขนาดการใช้ฟ้าทะลายโจรที่ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)
การศึกษานี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนายาจากสมุนไพรในผู้ป่วยโรคเอดส์ต่อไป โดยก่อนหน้ามีการทดลองที่ชัดเจนในหลอดทดลองแล้วว่าฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งการติดเชื้อและการแบ่งตัวของเชื้อ HIV ฤทธิ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของฟ้าทะลายโจรที่ชัดเจนก็คือ ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้รับประทานในขนาดสูงต่อเนื่องนานๆ เนื่องจากเป็นยาเย็น ไม่แนะนำให้ใช้ในคนท้อง หรือผู้วางแผนจะตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยตับไตขั้นรุนแรง และห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ฟ้าทะลายโจร
ขนาดที่แนะนำ คือ วันละ 1-2 แคปซูล เวลาใดก็ได้ 3 เดือน และเว้นการรับประทาน 1 เดือน
ในส่วนของมะระขี้นก มีการศึกษาของไทยที่ได้รับการตีพิมพ์ในต่างประเทศหลายฉบับ เกี่ยวกับการยับยั้งเชื้อเอชไอวีจากมะระขี้นกของไทย “HIV Inhibitor from Thai Bitter Gourd” โดยพบว่าในผลสุกและเมล็ดของมะระขี้นกมีโปรตีนชื่อ MRK29 ที่สามารถยับยั้งการติดเชื้อไวรัสและยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี โดยการยับยั้งเอนไซม์ revere transcriptase และยังมีฤทธิ์ปรับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต้านทานโรคได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผลอ่อนของมะระขี้นกยังใช้เป็นยาเจริญอาหาร รักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ได้ดี โดยมีการทดลองทางคลินิกจากจำนวนผู้ป่วย 28 คน พบว่ามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นรู้สึกแข็งแรงขึ้น 28 คน คิดเป็น100% น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 22 คน คิดเป็น 78.5%
ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้รับประทานในขนาดสูงต่อเนื่องนานๆ เนื่องจากเป็นยาเย็นและมีผลลดน้ำตาลในเลือด ไม่แนะนำให้ใช้ในคนท้อง หรือผู้วางแผนจะตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยตับไตขั้นรุนแรง ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้มะระขี้นก
ขนาดที่แนะนำ คือ วันละ 1-2 แคปซูล เวลาใดก็ได้ 3 เดือน เว้นการรับประทาน 1 เดือน
ผู้ป่วยเอดส์สามารถรักษาให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรง ทำงานเป็นปกติได้ โดยใช้ยาต้านไวรัส HIV แต่เนื่องจากยังมีเชื้อบางส่วนที่หลงเหลือยังถูกทำลายไม่หมด ดังนั้น หลังจากกินยาจนมีอาการดีขึ้นแล้ว การจะทำให้มีสุขภาพที่ดีตลอดไปจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ไวรัส HIV กลับมาทำลายภูมิต้านทานของผู้ป่วยได้อีก การที่ผู้ป่วยต้องกินยาต่อเนื่องแต่มีสุขภาพที่ดีนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ไม่ยากดังเช่นโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่ต้องกินยาต่อเนื่องเช่นกัน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยหยุดยาเอง หลังจากอาการดีขึ้น นอกจากจะทำให้เชื้อดื้อยาแล้ว การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องเปลี่ยนชนิดของยาที่อาจมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น ราคายาสูงขึ้น และประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาอาจลดลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยไปตลอดชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การดูแลตัวเองให้แข็งแรง ทานอาหารและน้ำที่สะอาด หลีกเลี่ยงการรับเชื้อเพิ่ม โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยาง ไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น กินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง เลิกสิ่งเสพติดทุกชนิด และลดความวิตกกังวล จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
โรคเอดส์ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ไม่ต่างจากคนปกติ หากสามารถรักษาระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของการรักษา ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ให้ในผู้ป่วยที่มีเกณฑ์ต้องเริ่มยา ก็ให้เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวไวรัส และรักษาระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้อยู่ตามเกณฑ์ ที่เรียกว่าค่า CD4
สำหรับสมุนไพรไทยนั้น มีหลายชนิดที่ได้มีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยเอดส์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดยาต้านไวรัสแผนปัจจุบันแล้วมาใช้สมุนไพรอย่างเดียว แต่ควรใช้สมุนไพรเป็นส่วนเสริมการรักษาเท่านั้น
ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้นำข้อมูลของสมุนไพรรสขม 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ ฟ้าทะลายโจร และมะระขี้นก มานำเสนอให้เป็นสมุนไพรทางเลือก โดยมีการศึกษาขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา (Bastyr University, Washington) เกี่ยวกับการใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 18 คน โดยทดลองให้รับประทานฟ้าทะลายโจรในขนาด 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มขนาดเป็น 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มขนาดเป็น 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมีค่า CD4 ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (เฉลี่ย 405 เซลล์ เพิ่มขึ้นเป็น 501 เซลล์ โดยเห็นผลตั้งแต่ขนาดการใช้ฟ้าทะลายโจรที่ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)
การศึกษานี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนายาจากสมุนไพรในผู้ป่วยโรคเอดส์ต่อไป โดยก่อนหน้ามีการทดลองที่ชัดเจนในหลอดทดลองแล้วว่าฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งการติดเชื้อและการแบ่งตัวของเชื้อ HIV ฤทธิ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของฟ้าทะลายโจรที่ชัดเจนก็คือ ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้รับประทานในขนาดสูงต่อเนื่องนานๆ เนื่องจากเป็นยาเย็น ไม่แนะนำให้ใช้ในคนท้อง หรือผู้วางแผนจะตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยตับไตขั้นรุนแรง และห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ฟ้าทะลายโจร
ขนาดที่แนะนำ คือ วันละ 1-2 แคปซูล เวลาใดก็ได้ 3 เดือน และเว้นการรับประทาน 1 เดือน
ในส่วนของมะระขี้นก มีการศึกษาของไทยที่ได้รับการตีพิมพ์ในต่างประเทศหลายฉบับ เกี่ยวกับการยับยั้งเชื้อเอชไอวีจากมะระขี้นกของไทย “HIV Inhibitor from Thai Bitter Gourd” โดยพบว่าในผลสุกและเมล็ดของมะระขี้นกมีโปรตีนชื่อ MRK29 ที่สามารถยับยั้งการติดเชื้อไวรัสและยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี โดยการยับยั้งเอนไซม์ revere transcriptase และยังมีฤทธิ์ปรับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต้านทานโรคได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผลอ่อนของมะระขี้นกยังใช้เป็นยาเจริญอาหาร รักษาอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ได้ดี โดยมีการทดลองทางคลินิกจากจำนวนผู้ป่วย 28 คน พบว่ามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นรู้สึกแข็งแรงขึ้น 28 คน คิดเป็น100% น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 22 คน คิดเป็น 78.5%
ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้รับประทานในขนาดสูงต่อเนื่องนานๆ เนื่องจากเป็นยาเย็นและมีผลลดน้ำตาลในเลือด ไม่แนะนำให้ใช้ในคนท้อง หรือผู้วางแผนจะตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยตับไตขั้นรุนแรง ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้มะระขี้นก
ขนาดที่แนะนำ คือ วันละ 1-2 แคปซูล เวลาใดก็ได้ 3 เดือน เว้นการรับประทาน 1 เดือน
ผู้ป่วยเอดส์สามารถรักษาให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรง ทำงานเป็นปกติได้ โดยใช้ยาต้านไวรัส HIV แต่เนื่องจากยังมีเชื้อบางส่วนที่หลงเหลือยังถูกทำลายไม่หมด ดังนั้น หลังจากกินยาจนมีอาการดีขึ้นแล้ว การจะทำให้มีสุขภาพที่ดีตลอดไปจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ไวรัส HIV กลับมาทำลายภูมิต้านทานของผู้ป่วยได้อีก การที่ผู้ป่วยต้องกินยาต่อเนื่องแต่มีสุขภาพที่ดีนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ไม่ยากดังเช่นโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่ต้องกินยาต่อเนื่องเช่นกัน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยหยุดยาเอง หลังจากอาการดีขึ้น นอกจากจะทำให้เชื้อดื้อยาแล้ว การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องเปลี่ยนชนิดของยาที่อาจมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น ราคายาสูงขึ้น และประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาอาจลดลง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยไปตลอดชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การดูแลตัวเองให้แข็งแรง ทานอาหารและน้ำที่สะอาด หลีกเลี่ยงการรับเชื้อเพิ่ม โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยาง ไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น กินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง เลิกสิ่งเสพติดทุกชนิด และลดความวิตกกังวล จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่