หมอผิวหนังเตือนซื้อยาทารักษาฝ้าเองระวังไม่หาย ห่วงคนเข้าใจผิดยาใช้รักษาได้เหมือนกันหมด แจงฝ้าลักษณะต่างกัน สาเหตุต่างกัน ใช้วิธีรักษาไม่เหมือนกัน แนะพบแพทย์วินิจฉัยสาเหตุ เลือกวิธีรักษาเหมาะสม หาวิธีป้องกันการเกิดฝ้ากลับ ย้ำระวังยาโฆษณารักษาฝ้าหายเร็ว 7 วัน ลอบใส่สารอันตราย ชี้ฝ้าใช้เวลารักษา 4 - 8 สัปดาห์
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รองผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังจำเป็นที่จะต้องอาศัยหลักการการรักษาผู้ป่วยที่แตกต่างเฉพาะราย เพราะเป็นการวินิจฉัยปัญหาผู้ป่วยที่ละเอียดขึ้น เพื่อเลือกวิธีการดูแลและรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด เช่น การรักษาฝ้า ซึ่งทราบกันดีกว่าฝ้านั้นเกิดจากการที่เม็ดสีผิวเปลี่ยนไป สาเหตุเกิดจากการถูกแสงแดด พันธุกรรม ฮอร์โมน การใช้ยาหรือเครื่องสำอางที่มีฤทธิ์กระตุ้นเม็ดสีผิวให้เปลี่ยน และปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองจนทำให้เกิดฝ้าในที่สุด ซึ่งบางคนอาจเกิดจากสาเหตุเดียว แต่บางคนก็เกิดจากหลายสาเหตุ ที่น่าห่วงคือปัจจุบันคนมักนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือยามาทา เพื่อป้องกันและรักษาฝ้าเอง ซึ่งบางคนหาย บางคนไม่หาย แถมเกิดผลข้างเคียง นั่นเป็นเพราะแต่ละคนมีสาเหตุของการเกิดฝ้าที่ต่างกัน และตัวฝ้าที่เกิดขึ้นก็มีความแตกต่างกันด้วย เช่น บางคนเป็นฝ้าลึก บางคนเป็นฝ้าตื้น ซึ่งหากเป็นฝ้าลึกต่อให้ทายามากเท่าไรฝ้าก็ไม่หาย เพราะตัวยาเข้าไปไม่ถึง ซึ่งเคยมีเคสผู้ป่วยบางรายเป็นฝ้าลึกแล้วซื้อยาทาฝ้าเอง ปรากฏว่า ฝ้าไม่หาย แต่ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ฝ้าเป็นรอยด่าง เพราะตัวยามีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังปกติจางลง นอกจากนี้ ผู้บริโภคต้องเข้าใจด้วยว่าที่บอกว่าผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าให้หาย คือ การรักษาหายแบบชั่วคราว ไม่ใช่ถาวร เพราะหากยังสัมผัสกับสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกเสมอ
“ คนทั่วไปมักเข้าใจว่าฝ้าทุกชนิดก็เหมือน ๆ กัน สามารถใช้ยาทารักษาได้เหมือนกัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่ เพราะฝ้ามีลักษณะแตกต่างกันไป สาเหตุก็ต่างกัน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ เมื่อเกิดฝ้าควรมาพบแพทย์ก่อน เพื่อตรวจและวินิจฉัยให้รู้ชัดเจนว่าฝ้านั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุใด เพื่อเลือกวิธีรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เช่น หากเกิดจากแสงแดด ซึ่งกรณีนี้สามารถป้องกันได้ เมื่อรักษาหายแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะหากยังถูกแสงแดดเหมือนเดิมฝ้าก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก หรืออย่างพันธุกรรม อันนี้ไม่มีทางรักษาหาย ก็ต้องมาพบแพทย์เป็นประจำเพื่อบรรเทาการเกิดฝ้า หรืออย่างกรณีฝ้าเลือด คือ ฝ้าที่มีเส้นเลือดขึ้นคู่กัน ซึ่งกรณีนี้เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติมีผลทำให้เกิดฝ้า เมื่อไปรักษาตรงเส้นเลือดฝอยก็พบว่าฝ้าก็ดีขึ้น เป็นต้น ” รอง ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง กล่าว
นพ.จินดา กล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยต้องเข้าใจด้วยว่าการรักษาฝ้านั้นก็มีความแตกต่างกัน คือ การรักษาแบบกำจัดเม็ดสีผิวส่วนเกิน และการป้องกันไม่ให้เกิดเม็ดสีผิวผิดปกติขึ้นใหม่ อย่างการรักษาด้วยเลเซอร์สามารถช่วยกำจัดเม็ดสีผิวส่วนเกินได้ แต่ไม่ช่วยป้องกันเม็ดสีผิวไม่ให้ผิดปกติ ส่วนยาทาฝ้าบางตัวนั้นเป็นการลดการสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติไม่ให้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งการรักษาบางครั้งจำเป็นต้องรักษาผสมผสานกันทั้งสองแบบ ดังนั้น การซื้อยามาทาเองจึงอาจไม่หาย เพราะฉะนั้น ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนด้วย และต้องระวังโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่มี อย. และมีการโฆษณาว่ารักษาหายภายใน 7 วัน หรือหายในระยะเวลาที่รวดเร็ว เพราะอาจมีการใส่สารอันตรายลงไป ซึ่งปกติแล้วการรักษาฝ้าจะอาศัยเวลาอยู่ประมาณ 4 - 8 สัปดาห์ตามวงรอบการผลัดเซลล์ผิว ส่วนที่บอกว่ารักษาภายใน 1 - 2 สัปดาห์นั้น ยาอาจแรงเกินไป จนส่งผลต่อผิวหนังได้ นอกจากฝ้าแล้ว ปัญหาโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น สิว เป็นต้น ก็จำเป็นต้องอาศัยการรักษาแบบเฉพาะราย เพราะแต่ละโรคล้วนมีสาเหตุต่างกัน มีลักษณะของโรคต่างกัน การรู้ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เลือกการรักษาที่เหมาะสมมากขึ้น
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่