นายกสภาเทคนิคการแพทย์แจงขั้นตอนตรวจเชื้อเอชไอวี ทำตามแนวปฏิบัติของ สธ. โอกาสผิดพลาดต่ำ เหตุมีการตรวจหลายรอบให้มั่นใจว่าติดเชื้อจริงหรือไม่ ระบุผลเลือดบวกปลอมเกิดขึ้นได้
วันนี้ (11 ก.ย.) รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์ กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยฟ้องร้อง รพ.เอกชนชื่อดัง เนื่องจากตรวจเลือดผิดพบติดเชื้อเอชไอวี แต่สุดท้ายไม่ใช่ ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงกรณีดังกล่าวเป็นเพราะแพทย์แปลผลแล็บผิด หรือเกิดจากความผิดพลาดในการทำแล็บหรือไม่ ว่า ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่อิงตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น จะเริ่มจากการตรวจหาภูมิต้านทานก่อนในครั้งแรก หากพบว่ามีภูมิต้านทานหรือเป็นบวกแสดงว่าร่างกายมีเชื้อ ก็จะตรวจซ้ำอีก 2 ครั้งด้วยชุดน้ำยาที่แตกต่างกัน หากให้ผลเป็นบวกทั้งหมดก็บอกได้ว่าคนนี้มีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย แต่หากให้ผลไม่ตรงกันจะนัดผู้ป่วยมาตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งหลังจากนี้อีก 3 เดือน หรือถ้าต้องการความรวดเร็วก็จะใช้วิธีการตรวจหาตัวเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยตรง และเมื่อได้ผลเลือดทั้งหมดจะส่งให้แพทย์เพื่อวินิจฉัยอ่านค่าต่อไป ซึ่งแพทย์จะพิจารณาร่วมกับประวัติของผู้มาตรวจ ถ้ามีความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชไอวีอยู่แล้วก็อาจจะวินิจฉัยได้เลย แต่บางรายที่ไม่มีความเสี่ยง แพทย์อาจจะสั่งให้มีการเจาะเลือดซ้ำ เพื่อตรวจยืนยันผลให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันการผิดพลาด
“หากดำเนินการทุกอย่างตามนี้โอกาสผิดพลาดจะมีน้อยมาก ส่วนผลเลือดบวกปลอมนั้นเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยเคยรับยา หรือวัคซีนอื่น ๆ มาก่อน หรือเคยเป็นอาสาสมัครรับวัคซีนเพื่องานทดลองบางอย่าง อย่างที่ผ่านมาก็เคยมีที่ผู้ป่วยแอบสลับหลอดเลือด สลับตัวกันมาตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเรื่องตรวจวินิจฉัยผิดก็มีบ้าง เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรให้ผล 100% แต่ถ้าเราเป็นคนเจาะเลือดเองกับมือ และทำตามมาตรฐานทุกขั้นตอนโอกาสจะผิดพลาดน้อยมาก” รศ.สมชาย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (11 ก.ย.) รศ.สมชาย วิริยะยุทธกร นายกสภาเทคนิคการแพทย์ กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยฟ้องร้อง รพ.เอกชนชื่อดัง เนื่องจากตรวจเลือดผิดพบติดเชื้อเอชไอวี แต่สุดท้ายไม่ใช่ ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงกรณีดังกล่าวเป็นเพราะแพทย์แปลผลแล็บผิด หรือเกิดจากความผิดพลาดในการทำแล็บหรือไม่ ว่า ขั้นตอนการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่อิงตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกนั้น จะเริ่มจากการตรวจหาภูมิต้านทานก่อนในครั้งแรก หากพบว่ามีภูมิต้านทานหรือเป็นบวกแสดงว่าร่างกายมีเชื้อ ก็จะตรวจซ้ำอีก 2 ครั้งด้วยชุดน้ำยาที่แตกต่างกัน หากให้ผลเป็นบวกทั้งหมดก็บอกได้ว่าคนนี้มีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย แต่หากให้ผลไม่ตรงกันจะนัดผู้ป่วยมาตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งหลังจากนี้อีก 3 เดือน หรือถ้าต้องการความรวดเร็วก็จะใช้วิธีการตรวจหาตัวเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยตรง และเมื่อได้ผลเลือดทั้งหมดจะส่งให้แพทย์เพื่อวินิจฉัยอ่านค่าต่อไป ซึ่งแพทย์จะพิจารณาร่วมกับประวัติของผู้มาตรวจ ถ้ามีความเสี่ยงในการรับเชื้อเอชไอวีอยู่แล้วก็อาจจะวินิจฉัยได้เลย แต่บางรายที่ไม่มีความเสี่ยง แพทย์อาจจะสั่งให้มีการเจาะเลือดซ้ำ เพื่อตรวจยืนยันผลให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันการผิดพลาด
“หากดำเนินการทุกอย่างตามนี้โอกาสผิดพลาดจะมีน้อยมาก ส่วนผลเลือดบวกปลอมนั้นเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยเคยรับยา หรือวัคซีนอื่น ๆ มาก่อน หรือเคยเป็นอาสาสมัครรับวัคซีนเพื่องานทดลองบางอย่าง อย่างที่ผ่านมาก็เคยมีที่ผู้ป่วยแอบสลับหลอดเลือด สลับตัวกันมาตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเรื่องตรวจวินิจฉัยผิดก็มีบ้าง เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรให้ผล 100% แต่ถ้าเราเป็นคนเจาะเลือดเองกับมือ และทำตามมาตรฐานทุกขั้นตอนโอกาสจะผิดพลาดน้อยมาก” รศ.สมชาย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
