ปลัด ศธ. เผย คตร. นัดเข้าพบขอข้อมูล สกสค.- องค์การค้าฯ - คุรุสภา พรุ่งนี้ ระบุเล็งประสานดีเอสไอ เข้ามาช่วยตรวจสอบหากพบบุคคลมีเอี่ยวทุจริต สั่งปฏิบัติหน้าที่ เลขาธิการ สกสค. ตรวจสอบกรณีนำเงิน ช.พ.ค. ลงทุนกับ บ.บิลเลี่ยนฯ โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ กก. บริหาร และกรณีสร้างอาคารหอพักที่เชียงใหม่ ให้นโยบายเจอผิดชัดแจ้งดำเนินคดีทันที
วันนี้ (27 เม.ย.) รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับการประสานจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เพื่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) องค์การค้าของ สกสค. และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ในวันพรุ่งนี้ (28 เม.ย.) แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คตร. จะเข้ามาสอบถามในประเด็นใดบ้าง ทั้งนี้ ในส่วนการตรวจสอบทุจริตทั้ง 3 หน่วยงาน เนื่องจาก คตร. มีอำนาจในการตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ไม่มีอำนาจตรวจสอบบุคคล ซึ่งกรณีพบว่ามีบุคคลรับเงินเข้าบัญชีไม่ถูกต้อง คตร. ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีบุคคลนั้นได้ เพราะฉะนั้น หากการสอบสวนมีความชัดเจนว่าพบ หรือมีบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระทำการทุจริตต้องประสานให้กรมสอบสวนพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เข้ามาดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากดีเอสไอมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบบัญชีบุคคลได้และทำตรวจสอบได้ครอบคลุมมากกว่า
ปลัด ศธ. กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) นำเงินของกองทุน ช.พ.ค. ไปลงทุนกับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อำเภอหนองหญ้าป้อง จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่ 1,200 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2556 มูลค่า 2,100 ล้านบาทนั้น ในกรณีลงทุนกับ บ.บิลเลี่ยนฯ นั้นเดิม บ.บิลเลี่ยนฯ ได้เสนอให้ สกสค. ซื้อตั๋วสัญญามูลค่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ก็ได้หารือและอนุมัติทันทีในสัปดาห์ถัดมา โดยอ้างว่ามีอำนาจทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งในการลงทุนระบุว่า บ.บิลเลี่ยนฯ จะต้องคืนเงินดังกล่าวให้ สกสค. ในปี พ.ศ. 2557 แต่ทาง บ.บิลเลี่ยนฯ ไม่ได้คืนเงินแต่ขอผัดผ่อนด้วยการชำระดอกเบี้ยแทน อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ถือว่ามีปัญหาการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องมาแต่แรก เพราะไม่มีสถาบันการเงินเข้ามาค้ำประกัน จนกระทั่งปัจจุบันได้ขอเปลี่ยนการลงทุนจากตั๋วสัญญามาเป็นร่วมลงทุนโครงการดังกล่าวแทน ซึ่ง สกสค. ก็ยังไม่ได้รับเงินคืน
“อาจจะต้องไปตรวจสอบว่าเจ้าของ บ.บิลเลี่ยนฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ หรือคณะกรรมการ สกสค. หรือไม่ เพราะเงินจำนวนนี้ควรจะเป็นของครูซึ่งเป็นสมาชิก ช.พ.ค. ทุกคนดังนั้นหากไม่ได้เงินคืนก็ต้องมีผู้รับผิดชอบด้วย ทั้งนี้ ส่วนตัวผมยังไม่ได้เห็นเอกสารสัญญาที่ สกสค. ทำกับ บ.บิลเลี่ยนฯ แต่ขณะนี้ได้มอบให้ นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ไปตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าคณะกรรมการบริหารกองทุน ช.พ.ค. ในขณะนั้นดำเนินการออกระเบียบการบริหารและการใช้เงินกองทุนเองได้หรือไม่ นอกจากนี้ ให้ไปตรวจสอบกรณีการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากร ทางการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ มูลค่าโครงการ 360 ล้านบาทด้วย ที่ผลการสืบข้อเท็จจริงพบว่า มีมูลว่ามีการดำเนินการที่ส่อไปในทางทุจริต เพราะมีการก่อสร้างนานถึง 3 ปี แต่มีเสาขึ้นในพื้นที่เพียง 3 ต้น มีการแก้ไขแบบและมีการขยายเวลาการก่อสร้างออกไป ทำให้ผิดสัญญาจ้างไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ก่อให้เกิดความเสียหายกับทางราชการ โดยได้ให้นโยบายว่าหากตรวจสอบพบเรื่องใดที่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายก็ให้ดำเนินการได้ทันที” ปลัด ศธ. กล่าว
รศ.นพ.กำจร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในส่วนที่ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มอบให้สำนักนิติการ สำนักงานปลัด ศธ. ไปตรวจสอบตามที่คณะกรรมการสืบช้อเท็จจริงกรณีก่อสร้างอาคารฯ เสนอให้การยกเลิกสัญญาจ้าง นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. ด้วย เพราะการยกเลิกสัญญาจ้างในระหว่างตรวจสอบอาจทำให้ความผิดตามตำแหน่งดังกล่าวลดลง ดังนั้น จึงต้องพิจารณาและตรวจสอบให้รอบด้าน
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่