เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองลั่นไม่ร่วมประชุม 23 ก.พ. ขู่ 1 - 2 สัปดาห์ไม่ปรับตัวเลขผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิเข้ากองทุนคืนสิทธิ จะออกมาเคลื่อนไหวอีก ด้าน ผอ.รพ.อุ้มผาง วอนทุกฝ่ายใจเย็น ให้รอหารือ 23 ก.พ. คาดได้ตัวเลขชัดเจน
นายวิวัฒน์ ตามี่ กองเลขานุการเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) กล่าวว่า การเสนอตัวเลขที่ผิดพลาด ทำให้คนที่มีปัญหาสถานะและสิทธิขาดหายไปอีก 38,096 คน ซึ่งแม้โรงพยาบาลจะย้ำว่า ไม่ว่าคนเชื้อชาติใด หรือไม่มีสถานะและสิทธิก็รักษาพยาบาลหมด แต่อย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้เขาหวาดกลัว เมื่อไม่มีสิทธิถูกต้องก็เกรงกลัวจะถูกจับกุม เมื่อเจ็บป่วยจึงไม่ไปรักษาตัว อย่างไรก็ตาม จากการหารือพบว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรี จะทำหนังสือถึงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้เร่งปรับแก้ตัวเลขดังกล่าว รวมทั้งจะเรียกร้อง นายยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเป็นธรรม และย้ำกับ สธ. เช่นกัน โดยพวกตนจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ ก็น่าจะแล้วเสร็จ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็จะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องอีก ส่วนที่ รมช.สธ. จะเรียกประชุมเรื่องนี้วันที่ 23 ก.พ. ยังไม่ได้รับการประสาน แม้มีการเชิญมาจะไม่ขอเข้าร่วมอีก เนื่องจากไม่มีประโยชน์ เพราะจากการประชุมในวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา ชัดเจนว่า รมช.สธ. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขคนกลุ่มนี้
“ที่สำคัญ ในการประชุมวันที่ 23 กุมภาพันธ์นั้น เป็นการเรียกประชุมติดตามความคืบหน้าเรื่องการวางยุทธศาสตร์หลักประกันสุขภาพกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเพียงวงแคบๆ ไม่ได้เปิดให้ภาคประชาชน หรือรพ.ชายแดนอื่นๆ แม้แต่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ หรือจ.กาญจนบุรี ก็ไม่ได้รับเชิญ ทั้งๆ ที่การทำยุทธศาสตร์ต้องเปิดกว้าง และมีการระดมความเห็นทั้ง 4 ภาคด้วยซ้ำไป” นายวิวัฒน์ กล่าว
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผอ.รพ.อุ้มผาง จ. ตาก กล่าวว่า อยากให้ทุกอย่างไปคุยกันในวันที่ 23 ก.พ. ขอให้ใจเย็นๆ อย่างเรื่องตัวเลขคนรอพิสูจน์สถานะ ก็ให้มาตกลงกันในวันดังกล่าว ส่วนยุทธศาสตร์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นเรื่องระยะยาวที่ควรมีแผนรับมือ เนื่องจากยุทธศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่ช่วยบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ แต่ยังหมายถึงแรงงานข้ามชาติ ลูกหลานอีก ยิ่งเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ยิ่งต้องมีความพร้อม เพราะบางคนเดินทางเข้ามา มีภาวะป่วย ไม่มีเงินรักษาจะทำอย่างไร ตนจึงเสนอให้ตั้งเป็นกองทุนความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่า ก็น่าจะดี เพื่อมนุษยธรรม และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลด้วย
“ก่อนหน้านี้ รมว.สธ. ได้ลงพื้นที่มาที่ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก ผมก็ได้เสนอแนวความคิดนี้ไป หากท่านให้การตอบรับ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี โดยเรื่องนี้จะเสนอไว้ในยุทธศาสตร์ที่ทาง รมช. มอบให้ทางคณะทำงาน ที่มี รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ทำงานหลักด้วย” นพ.วรวิทย์ กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นายวิวัฒน์ ตามี่ กองเลขานุการเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) กล่าวว่า การเสนอตัวเลขที่ผิดพลาด ทำให้คนที่มีปัญหาสถานะและสิทธิขาดหายไปอีก 38,096 คน ซึ่งแม้โรงพยาบาลจะย้ำว่า ไม่ว่าคนเชื้อชาติใด หรือไม่มีสถานะและสิทธิก็รักษาพยาบาลหมด แต่อย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้เขาหวาดกลัว เมื่อไม่มีสิทธิถูกต้องก็เกรงกลัวจะถูกจับกุม เมื่อเจ็บป่วยจึงไม่ไปรักษาตัว อย่างไรก็ตาม จากการหารือพบว่าทางสำนักนายกรัฐมนตรี จะทำหนังสือถึงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้เร่งปรับแก้ตัวเลขดังกล่าว รวมทั้งจะเรียกร้อง นายยงยุทธ์ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเป็นธรรม และย้ำกับ สธ. เช่นกัน โดยพวกตนจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ ก็น่าจะแล้วเสร็จ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็จะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องอีก ส่วนที่ รมช.สธ. จะเรียกประชุมเรื่องนี้วันที่ 23 ก.พ. ยังไม่ได้รับการประสาน แม้มีการเชิญมาจะไม่ขอเข้าร่วมอีก เนื่องจากไม่มีประโยชน์ เพราะจากการประชุมในวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา ชัดเจนว่า รมช.สธ. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขคนกลุ่มนี้
“ที่สำคัญ ในการประชุมวันที่ 23 กุมภาพันธ์นั้น เป็นการเรียกประชุมติดตามความคืบหน้าเรื่องการวางยุทธศาสตร์หลักประกันสุขภาพกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเพียงวงแคบๆ ไม่ได้เปิดให้ภาคประชาชน หรือรพ.ชายแดนอื่นๆ แม้แต่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ หรือจ.กาญจนบุรี ก็ไม่ได้รับเชิญ ทั้งๆ ที่การทำยุทธศาสตร์ต้องเปิดกว้าง และมีการระดมความเห็นทั้ง 4 ภาคด้วยซ้ำไป” นายวิวัฒน์ กล่าว
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผอ.รพ.อุ้มผาง จ. ตาก กล่าวว่า อยากให้ทุกอย่างไปคุยกันในวันที่ 23 ก.พ. ขอให้ใจเย็นๆ อย่างเรื่องตัวเลขคนรอพิสูจน์สถานะ ก็ให้มาตกลงกันในวันดังกล่าว ส่วนยุทธศาสตร์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นเรื่องระยะยาวที่ควรมีแผนรับมือ เนื่องจากยุทธศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่ช่วยบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ แต่ยังหมายถึงแรงงานข้ามชาติ ลูกหลานอีก ยิ่งเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ยิ่งต้องมีความพร้อม เพราะบางคนเดินทางเข้ามา มีภาวะป่วย ไม่มีเงินรักษาจะทำอย่างไร ตนจึงเสนอให้ตั้งเป็นกองทุนความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ความร่วมมือระหว่างไทยกับพม่า ก็น่าจะดี เพื่อมนุษยธรรม และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลด้วย
“ก่อนหน้านี้ รมว.สธ. ได้ลงพื้นที่มาที่ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก ผมก็ได้เสนอแนวความคิดนี้ไป หากท่านให้การตอบรับ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี โดยเรื่องนี้จะเสนอไว้ในยุทธศาสตร์ที่ทาง รมช. มอบให้ทางคณะทำงาน ที่มี รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ทำงานหลักด้วย” นพ.วรวิทย์ กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่