สอบคัด รองผอ.-ผอ.สถานศึกษา พบผู้เข้าสอบนำโทรศัพท์เข้าสอบ 1 รายอ้างกลัวหาย เบื้องต้นยึดเครื่องไว้ก่อนส่งฝ่ายเทคนิคตรวจสอบ ขณะที่ ผอ.สพม.เขต 1 เผยผลตรวจสอบมือถือไม่ส่อทุจริต แต่เจ้าตัวผู้เข้าสอบทำบันทึกสละสิทธิ์การสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่เช่นนั้นตามกติกาต้องถูกสอบวินัยเพราะทำผิดระเบียบ ภาพรวมไม่พบปัญหาย้ำป้องกันทุจริต 100%
วันนี้ (14 ก.พ.) ที่โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วย นางรัตนา ศรีเหรัญ รองเลขาธิการ กพฐ. เดินทางตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งจัดสอบระหว่าง วันที่14-15 กุมภาพันธ์
โดยวันแรกเป็นการสอบภาค ก ความรู้ทั่วไปและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ ส่วนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นการสอบภาค ค สอบสัมภาษณ์ โดยมีผู้มีสิทธิ์เข้ารับการเข้าสอบทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 21,963 ราย แบ่งเป็น ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 6,124 ราย แบ่งเป็น กลุ่มประสบการณ์ 1,592 ราย และกลุ่มทั่วไป 4,537 ราย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 15,834 ราย แบ่งเป็น กลุ่มประสบการณ์ 5,213 รายและกลุ่มทั่วไป 10,621 ราย ตำแหน่งว่างที่ประกาศ รวมทั้งสิ้น 4,257 ตำแหน่ง
โดย นายกมล กล่าวว่า ภาพรวมการจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางธุรการ อาทิ ไฟดับ ชื่อผู้เข้าสอบไม่ตรงตามประเภทที่สมัคร ซึ่งสพฐ.ก็ได้แก้ปัญหาโดยให้สอบตามกลุ่มที่ได้สมัครไว้ตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของผู้สมัคร ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่า มีผู้สมัครที่เป็นสามี ภรรยา ได้เลขที่นั่งสอบติดกัน แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา กรรมการคุมสอบจึงขอให้สลับที่นั่งสอบ ซึ่งผู้สมัครสอบก็ยินยอม ขณะเดียวกัน ที่สนามสอบโรงเรียนศรีอยุธยาฯ พบผู้เข้าสอบรายหนึ่งนำโทรศัพท์เข้าไปในห้องสอบด้วย แต่ได้ปิดเครื่องและใส่ซองวางไว้บนโต๊ะ โดยจากการสอบถามผู้เข้าสอบรายดังกล่าว อ้างว่ากลัวหายจึงไม่ได้นำไปวางไว้ด้านนอกห้องสอบ เบื้องต้นคณะกรรมคุมสอบได้ยึดโทรศัพท์ไว้และให้ผู้เข้าสอบเข้าห้องสอบตามปกติก่อนเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ ส่วนโทรศัพท์จะให้ฝ่ายเทคนิคไปตรวจสอบว่ามีความผิดปกติและส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ โดยจะดูที่เจตนาของผู้เข้าสอบเป็นหลัก ส่วนวันที่ 15 กุมภาพันธ์จะเป็นการสอบสัมภาษณ์ และจะนำคะแนนไปรวมกับการสอบภาคก โดยสพฐ.จะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้คะแนน 60% ขึ้นไปทั้งหมด ซึ่งหากจำนวนรายชื่อที่ประกาศเกินกว่าจำนวนที่รับ ก็จะขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี
"การสอบครั้งนี้มีมาตรการป้องกันการทุจริต เข้มข้น 100% แต่อาจจะไม่มากเท่าการสอบครูผู้ช่วยซึงมีคนจำนวนมากจึงต้องเข้มข้นกับการจัดสอบมากเกินกว่า 100% จึงต้องมีทั้งเครื่องสแกน หรือการถ่ายรูปผู้เข้าสอบทุกคน ส่วนการสอบผู้บริหารและมีจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้กำชับให้ทุกเขตพื้นที่ฯ ดูแลการจัดสอบอย่างใกล้ชิดแต่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องสแกนเหมือนสอบครูผู้ช่วย" นายกมล กล่าว
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่เครือข่ายครูและผู้บริหารแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ระงับการสอบครั้งนี้ เพราะเป็นกลุ่มที่เคยเข้าสอบและอยู่ในกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ 60% นั้น ทาง สพฐ.ยึดหลักกฎหมายในการดำเนินการเป็นสำคัญ ซึ่งนายกฯ เองก็ไม่เข้าสั่งการอะไร ขณะที่ศาลปกครองก็ไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ดังนั้น สพฐ.จึงตีความว่า สามารถจัดสอบได้ ส่วนกลุ่มที่ร้องถือเป็นเรื่องเก่าที่มีการร้องมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ก็เคยมีมติไปแล้วว่าให้ยึดตามหลักเกณฑ์เดิมที่มีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกตามตำแหน่งที่ว่างจริง ไม่ได้ใช้เกณฑ์ 60% ซึ่งหากจะว่าตามสามัญสำนึกแล้วกลุ่มดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเรียกร้องตามหลักเกณฑ์ใหม่
ว่าที่ร้อยตรี อานนท์ สุขภาคกิจ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 กล่าวว่า จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือไม่พบข้อมูลที่ส่อไปในทางทุจริต และตัวผู้เข้าสอบได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการทำบันทึกสละสิทธิ์การสอบในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดี เพราะหากไม่สละสิทธิ์คณะกรรมการจะต้องดำเนินการตามระเบียบ เนื่องจากการนำโทรศัพท์เข้าห้องสอบถือว่ามีความผิดชัดเจนว่ากระทำผิดระเบียบการเข้าสอบและจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบวินัย หากคณะกรรมการคุมสอบไม่ดำเนินการอะไรก็ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวถือเป็นบรรทัดฐานที่จะต้องทำให้เป็นไปตามระเบียบเคร่งครัด
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (14 ก.พ.) ที่โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วย นางรัตนา ศรีเหรัญ รองเลขาธิการ กพฐ. เดินทางตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งจัดสอบระหว่าง วันที่14-15 กุมภาพันธ์
โดยวันแรกเป็นการสอบภาค ก ความรู้ทั่วไปและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ ส่วนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นการสอบภาค ค สอบสัมภาษณ์ โดยมีผู้มีสิทธิ์เข้ารับการเข้าสอบทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 21,963 ราย แบ่งเป็น ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 6,124 ราย แบ่งเป็น กลุ่มประสบการณ์ 1,592 ราย และกลุ่มทั่วไป 4,537 ราย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 15,834 ราย แบ่งเป็น กลุ่มประสบการณ์ 5,213 รายและกลุ่มทั่วไป 10,621 ราย ตำแหน่งว่างที่ประกาศ รวมทั้งสิ้น 4,257 ตำแหน่ง
โดย นายกมล กล่าวว่า ภาพรวมการจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางธุรการ อาทิ ไฟดับ ชื่อผู้เข้าสอบไม่ตรงตามประเภทที่สมัคร ซึ่งสพฐ.ก็ได้แก้ปัญหาโดยให้สอบตามกลุ่มที่ได้สมัครไว้ตั้งแต่ครั้งแรก เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของผู้สมัคร ขณะเดียวกันได้รับรายงานว่า มีผู้สมัครที่เป็นสามี ภรรยา ได้เลขที่นั่งสอบติดกัน แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา กรรมการคุมสอบจึงขอให้สลับที่นั่งสอบ ซึ่งผู้สมัครสอบก็ยินยอม ขณะเดียวกัน ที่สนามสอบโรงเรียนศรีอยุธยาฯ พบผู้เข้าสอบรายหนึ่งนำโทรศัพท์เข้าไปในห้องสอบด้วย แต่ได้ปิดเครื่องและใส่ซองวางไว้บนโต๊ะ โดยจากการสอบถามผู้เข้าสอบรายดังกล่าว อ้างว่ากลัวหายจึงไม่ได้นำไปวางไว้ด้านนอกห้องสอบ เบื้องต้นคณะกรรมคุมสอบได้ยึดโทรศัพท์ไว้และให้ผู้เข้าสอบเข้าห้องสอบตามปกติก่อนเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ ส่วนโทรศัพท์จะให้ฝ่ายเทคนิคไปตรวจสอบว่ามีความผิดปกติและส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ โดยจะดูที่เจตนาของผู้เข้าสอบเป็นหลัก ส่วนวันที่ 15 กุมภาพันธ์จะเป็นการสอบสัมภาษณ์ และจะนำคะแนนไปรวมกับการสอบภาคก โดยสพฐ.จะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้คะแนน 60% ขึ้นไปทั้งหมด ซึ่งหากจำนวนรายชื่อที่ประกาศเกินกว่าจำนวนที่รับ ก็จะขึ้นบัญชีไว้ 2 ปี
"การสอบครั้งนี้มีมาตรการป้องกันการทุจริต เข้มข้น 100% แต่อาจจะไม่มากเท่าการสอบครูผู้ช่วยซึงมีคนจำนวนมากจึงต้องเข้มข้นกับการจัดสอบมากเกินกว่า 100% จึงต้องมีทั้งเครื่องสแกน หรือการถ่ายรูปผู้เข้าสอบทุกคน ส่วนการสอบผู้บริหารและมีจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้กำชับให้ทุกเขตพื้นที่ฯ ดูแลการจัดสอบอย่างใกล้ชิดแต่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องสแกนเหมือนสอบครูผู้ช่วย" นายกมล กล่าว
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่เครือข่ายครูและผู้บริหารแห่งประเทศไทย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ระงับการสอบครั้งนี้ เพราะเป็นกลุ่มที่เคยเข้าสอบและอยู่ในกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ 60% นั้น ทาง สพฐ.ยึดหลักกฎหมายในการดำเนินการเป็นสำคัญ ซึ่งนายกฯ เองก็ไม่เข้าสั่งการอะไร ขณะที่ศาลปกครองก็ไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ดังนั้น สพฐ.จึงตีความว่า สามารถจัดสอบได้ ส่วนกลุ่มที่ร้องถือเป็นเรื่องเก่าที่มีการร้องมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ก็เคยมีมติไปแล้วว่าให้ยึดตามหลักเกณฑ์เดิมที่มีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกตามตำแหน่งที่ว่างจริง ไม่ได้ใช้เกณฑ์ 60% ซึ่งหากจะว่าตามสามัญสำนึกแล้วกลุ่มดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเรียกร้องตามหลักเกณฑ์ใหม่
ว่าที่ร้อยตรี อานนท์ สุขภาคกิจ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 กล่าวว่า จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือไม่พบข้อมูลที่ส่อไปในทางทุจริต และตัวผู้เข้าสอบได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการทำบันทึกสละสิทธิ์การสอบในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดี เพราะหากไม่สละสิทธิ์คณะกรรมการจะต้องดำเนินการตามระเบียบ เนื่องจากการนำโทรศัพท์เข้าห้องสอบถือว่ามีความผิดชัดเจนว่ากระทำผิดระเบียบการเข้าสอบและจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบวินัย หากคณะกรรมการคุมสอบไม่ดำเนินการอะไรก็ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวถือเป็นบรรทัดฐานที่จะต้องทำให้เป็นไปตามระเบียบเคร่งครัด
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
