เปิดศูนย์จัดหางานวันแรก “ประวิตร” มั่นใจช่วยคนไทยไม่เตะฝุ่น เตรียมขยายเปิดบริการในพื้นที่จังหวัดขนาดใหญ่ ย้ำเร่งจัดการปัญหาทุจริตหัวคิวแรงงาน ด้านปลัด ก.แรงงาน คาด 1 ปี หางานให้คนไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน
วันนี้ (19 ม.ค.) เวลา 08.40 น. ที่กระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (สมาร์ทจ๊อบเซ็นเตอร์) ว่า ศูนย์นี้ตั้งขึ้นเพื่อบริการหางานให้คนไทย คนที่จะเปลี่ยนงาน ว่างงาน หรือ ทุพพลภาพ สามารถหางานได้ทั้งงานในประเทศและต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมกับการนัดพบกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยตั้งเป้าขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เชื่อว่าจะสามารถทำให้ตัวเลขการว่างงานลดลงได้ ส่วนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหากไม่ทันก็ต้องมีการขยายเวลาออกไป
ส่วนความความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตภายในกระทรวงแรงงานหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเอกสารเกี่ยวกับการทุจริตในกระบวนการจัดส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ ย้อนหลังตั้งแต่ ปี 2555 ไปให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินการแก้ไข โดยที่ประชุม ครม. ให้กระทรวงแรงงานชี้แจงกลับมาภายใน 30 วัน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ที่ต้องเร่งจัดการปัญหาการทุจริตในภาครัฐ หากพบการกระทำผิดก็จะมีบทลงโทษตามข้อกฎหมาย
ด้านนายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ภายใน 1 ปี คาดว่า ศูนย์ฯจะสามารถจัดหางานให้คนไทยได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 คน และจะขยายศูนย์ฯไปยังจังหวัดต่างๆ ที่มีความต้องการแรงงานจำนวนมาก ในจังหวัดขนาดใหญ่ เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ นครราชสีมา เป็นต้น นอกจากนี้อยากให้แรงงานมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดยยึดหลักความก้าวหน้าหากต้องการเปลี่ยนงานก็ให้มาที่ศูนย์ฯ
ปลัด รง. กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจสอบการทุจริตในการจัดส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศถือเป็นการกระตุ้นให้ข้าราชการตื่นตัว และเป็นการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งเรื่องนี้ต้องไปดูที่ระบบการจัดการเนื่องจากไม่มีการระบุตัวบุคคลที่ชัดเจน ทั้งนี้หากพบการเก็บค่าบริการเกินกว่าความเป็นจริงสามารถแจ้งมาที่กระทรวงแรงงานได้เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบ แนะว่าหากจะไปทำงานต่างประเทศควรได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศไทย 3 - 4 เท่า เพราะมีค่าครองชีพสูง และควรได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถให้มากขึ้น โดยปัจจุบันความนิยมในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศลดลง