ศธ. ประกาศนโยบายปี 2558 เป็นปีปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ “ณรงค์” มั่นใจ 110% ลดปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในทุกระดับชั้นได้แน่นอน จากข้อมูลปัจจุบันมีเด็ก ป.3 มีปัญหานี้อยู่ประมาณ 2.5 - 2.6 หมื่นคนทั่วประเทศ ย้ำเด็กที่โตขึ้นต้องอ่านเขียนคล่องและสื่อสารได้ พร้อมวาง 3 มาตรการให้ สพฐ.- เขตพื้นที่ฯ และสถานศึกษา นำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลตามที่ประกาศไว้
วันนี้ (12 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.45 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) และผู้บริหาร สพฐ. แถลงข่าวประกาศนโยบาย ปี 2558 เป็นปีปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดย พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวว่า ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นในปี 2558 นี้ ศธ. จึงได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งจากข้อมูล สพฐ. พบว่า ขณะนี้มีนักเรียนประมาณ 25,000 - 26,000 คน ที่ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน กลุ่มชาติพันธุ์ เด็กต่างด้าวที่ติดตามพ่อแม่เข้ามาทำงาน ซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในการสื่อสารหลัก ทำให้เมื่อเข้ามาสู่ระบบการศึกษาเด็กจึงประสบปัญหาในการเรียน และเมื่อเด็กอ่านเขียนไม่ได้ก็เป็นผลให้ไม่สามารถเรียนรู้ในวิชาอื่นๆ ได้ตรงนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของเด็ก เพาะฉะนั้น การแก้ปัญหาอันดับแรก คือ ต้องทำให้นักเรียนทุกคนในระบบการศึกษา อ่านเขียนภาษาไทยได้และเข้าใจในสิ่งที่อ่านเขียน ถือเป็นหัวใจำคัญของการจัดการ ศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้กำหนดมาตรการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. ให้ สพฐ. ประกาศนโยบายและกำหนดมาตรการเร่งรัดคุณภาพให้นักเรียนทุกระดับชั้นสามารถต้องอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่องและสื่อสารได้ มีการกำกับติดตามการดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั้ง 225 เขตทั่วประเทศ ซึ่งต้องรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อ ศธ. 2. กำหนดให้ สพท. ดำเนินการประกาศโยบายแก่โรงเรียนในสังกัด ต้องมีข้อมูลการอ่านเขียนของนักเรียนทุกระดับชั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนการพัฒนาเด็กร่วมกับโรงเรียน และสรุปข้อมูลดังกล่าวรายงานต่อ สพฐ. มีการนิเทศ จัดทำแผนงาน กิจกรรมให้ความช่วยเหฃือสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และรายงานความก้าวหน้าต่อ สพฐ. เป็นระยะ และ 3. สถานศึกษา ต้องกำหนดเป็นนโยบายสำคัญให้ครูและผู้เกี่ยวข้องดำเนินการทุกวิธีให้นักเรียนอ่านเขียนได้ตามมาตรฐานของหลักสูตร ปรับระบบบริหารจัดการให้ครูทุกคน ไม่เฉพาะครูวิชาภาษาไทย มีส่วนร่วมรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาอ่านเขียนของนักเรียน มีแผนซ่อมเสริมนักเรียนทุกคนที่มีปัญหา โดยการซ่อมเสริมต้องแล้วเสร็จภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ต้องประสานผู้ปกครองให้รับทราบปัญหาและมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรหลานให้อ่านเขียนได้ กำกับติดตาม นิเทศ ช่วยเหลือครูในการแก้ปัญหาอ่านเขียนของนักเรียน พร้อมรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อ สพท.อย่างต่อเนื่อง
“ผมมีความมั่นใจ 110% ว่านโยบายนี้ประสบความสำเร็จ เพราะเชื่อว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างจริงจังให้สำเร็จตามเป้าหมายของนโยบาย โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน และ สพท. ทั้ง 225 เขต จะสามารถทำให้เด็กอ่านเขียนได้ครบทั้งหมดภายในปี 2558 และจริงๆ แล้ว ถ้าดำเนินการอย่างจริงจังแค่ 3 - 4 เดือน ก็สามารถเห็นผล ทำให้เด็กอ่านออก เขียนได้ ส่วนจะอ่านได้คล่องแค่ไหนขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนและการดำเนินการของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ส่วนหากมีการสำรวจในปีถัดไปก็อาจจะพบเด็กที่มีปัญหาการอ่านอยู่บ้าง เพราะเป็นเด็กกลุ่มใหม่ แต่ผมก็มั่นใจในส่วนที่เราพัฒนาเด็กตั้งแต่ตอนนี้ให้ได้รับการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้ตามแนวทางจะส่งผลดีเมื่อเด็กเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาจะไม่พบปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้อีกเช่นที่ผ่านมา” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว
ด้าน นายกมล กล่าวว่า นโยบายของ ศธ. ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาชาติ ตั้งเป้าหมายให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักค่านิยม 12 ประการ และมีทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งการอ่านออกเขียนได้ถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการพัฒนาตัวเอง และการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้น การแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะ สพฐ. มีเป้าหมายจะยกระดับคะแนนการทดสอบระดับชาติ (National Test : NT) การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) และโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3% โดยจะเริ่มทันทีซึ่งแม้หากไม่ได้ตามเป้า แต่ก็หวังให้เกิดแรงกระเพื่อมให้เกิดการตื่นตัว
ขณะที่ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) พิษณุโลก เขต 1 กล่าวว่า โดยปกติช่วงเริ่มปีการศึกษาใหม่จำนวนเด็กอ่านเขียนไม่ได้ จะเพิ่มขึ้นทุกต้นปีการศึกษา โดยเราได้กำหนดนิยามของคำว่า อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แตกต่างกันในแต่ละระดับชั้น คือ ชั้น ป.1 - ป.2 หมายถึงการอ่านออก - อ่านไม่ออก เขียนได้ - เขียนไม่ได้, ชั้น ป.3 - ป.4 หมายถึง การอ่านคล่อง - อ่านไม่คล่อง เขียนคล่อง - เขียนไม่คล่อง และชั้น ป.5 - ป.6 หมายถึงการอ่านรู้เรื่อง สรุปความได้ เขียนคล่อง เพราะฉะนั้น ทุกต้นปีจะมีตัวเลขนักเรียนทุกระดับชั้นที่มีปัญหาอ่านเขียนให้ต้องทำการบ้านพอสมควร ซึ่งทาง สพป.พิษณุโลก เขต 1 ได้วางแนวทางแก้ปัญหาโดยจะตรวจสอบการอ่าน การเขียนของนักเรียนทุกคน 100% เพื่อให้รู้ข้อมูล วิเคราะห์จุดบกพร่องของเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อวางแผนพัฒนาเด็กได้อย่างถูกต้อง รวมถึงมีการนิเทศ ช่วยเหลือสถานศึกษา ครูในการแก้ปัญหาด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาพอสมควร
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่