สธ. เตรียมเปิดตัว “ทีมหมอครอบครัว” ที่อิมแพ็ค 22 ธ.ค. นี้ เล็งเพิ่มค่าตอบแทน เพิ่มขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ ย้ำเน้นให้ความสำคัญ รพ.สต. และ รพช. ตั้งเป้านำร่อง 250 อำเภอก่อนขยายทั่วประเทศ
วันนี้ (15 ธ.ค.) นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงทิศทางและนโยบายการดูแลผู้สูงอายุไทยรองรับสังคมสูงวัย ว่า การออกแบบระบบการเข้าถึงบริการสุขภาพของนโยบายรัฐบาลชุดนี้เน้นสิ่งที่เรียกว่า “สังคมเกื้อกูลกัน” โดยขณะนี้กำลังสร้างความร่วมมือ โดยเป็นการบูรณาการของ 5 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และ สธ. โดยดูแลตั้งแต่ระบบเริ่มต้นเข้าสู่การเป็นสูงอายุและยังสุขภาพดีอยู่ จนกระทั่งเข้าสู่วาระเป็นผู้ป่วยแบบติดเตียง ด้วยการสร้าง “ทีมหมอครอบครัว” ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนมั่นใจและอุ่นใจ เมื่อเจ็บป่วยถ้าต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกเคว้งคว้าง
"เราอยากให้มีทีมหมอครอบครัวดูแลประชาชนทุกแห่ง โดยการออกแบบอาจจะมีทีมหมอประจำ ซึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อทีมหมอได้โดยตรง โดยในปี 2558 จะมีเป้าหมายการดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียงให้ชัดเจนในเชิงปริมาณที่พอจัดการได้ โดยเน้นจัดการดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียงและยากจน โดยเป็นการออกแบบหลายโมเดล โดยหลัก สธ. ไม่ได้ดูแลอยู่หน่วยเดียวแต่เป็นผู้เชื่อมโยงหน่วยอื่นๆ เข้าด้วยกัน” รมช.สาธารณสุข กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นวันที่ 22 ธ.ค. จะเปิดตัวโครงการทีมหมอครอบครัว ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจะนำร่อง 250 อำเภอ ก่อนขยายทั่วประเทศต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทีมหมอครอบครัวจะมุ่งไปที่บุคลากรสาธารณสุขระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) เนื่องจากใกล้ชิดชาวบ้าน โดยเฉพาะ รพ.สต. หรือสถานีอนามัย กำลังพิจารณาว่าจะมีค่าตอบแทนอะไรที่เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนกลุ่มนี้ เพื่อจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชน
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การจัดทีมหมอครอบครัว จะไม่ใช่ว่าต้องเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเท่านั้น เพียงแต่จะมีแพทย์เป็นผู้ให้คำปรึกษา แต่หลักๆ ทีมหมอครอบครัว จะเป็นทั้งพยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด ฯลฯ เพื่อดูแลชาวบ้านโดยเฉพาะ ทำให้ชาวบ้านสามารถโทรศัพท์ปรึกษาเรื่องสุขภาพกับหมอประจำของตัวเอง หรือที่เรียกว่า หมอใกล้บ้านนั่นเอง ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ดีกว่าการรักษาโรคเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น
ด้าน นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โดยหลักการทำงานแล้วท้องถิ่นมีรูปแบบการทำงาน คือ งาน เงิน คน กฎหมาย โดยขณะนี้ภารกิจที่ทำเพื่อผู้สูงอายุมีข้อจำกัดเรื่องข้อกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่ได้ท้วงติงไว้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่มีระเบียบรองรับอะไรให้ท้องถิ่นดูแลผู้สูงอายุได้ อีกทั้งบุคลากรท้องถิ่นเองมีไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เรามีหน้าที่แต่ไม่มีอำนาจทำได้แต่ไม่ให้ใช้เงิน ปัจจุบันท้องถิ่นไม่ได้สังกัดหน่วยงานไหน แต่อยู่ภายใต้การทำงานจังหวัดของอำเภอ โดยขณะนี้ติดขัดเรื่องอำนาจการเบิกจ่าย ที่ไม่สามารถส่งเสริมหรือสนับสนุนระบบผู้สูงอายุได้เต็มที่
นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า มิติด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุมีกรอบที่กว้างกว่าระบบบริการสาธารณสุขทั่วไป ขณะนี้แต่ละกระทรวงมีแผนงานผู้สูงอายุเป็นของตัวเองในระบบแนวดิ่ง โดยท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากในการดูแลระบบสุขภาพผู้สูงอายุ ส่วนราชการต้องมีหน้าที่ในการเสริมพลังท้องถิ่นให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องกลไกทางการเงินที่ท้องถิ่นติดขัดอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบัน สปสช. ยังอาศัยแนวคิดเรื่องกองทุนตำบลอยู่ แต่มีแนวคิดเรื่องการตั้งกองทุนระดับพื้นที่ โดยกำลังมีการเสนองบประมาณปี 2559 มีข้อเสนอเรื่องงบประมาณดูแลผู้สูงอายุระยะยาว มีการนำร่องดำเนินการไปแล้วใน 11 พื้นที่ สิ่งที่ขาดหายไปและจำเป็นต้องทำคือเรื่องกฎหมาย โดยทำเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยแก้ระเบียบให้ท้องถิ่นสามารถนำเงินมาบริหารจัดการดูแลผู้สูงอายุได้
ศ.เกียรติคุณ นพ.พงษ์ศิริ ปรารถนาดี รองประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เท่าที่ทำงานด้านพัฒนาผู้สูงอายุมานานได้ข้อสังเกตว่าชมรมผู้สูงอายุที่เข้มแข็ง ต้องมี 5 คุณสมบัติ 1. มีอุดมการณ์ วัตถุประสงค์ชัดเจน 2. คณะกรรมการ ประธาน ชมรม มีความสามัคคี มีความโปร่งใส 3. มีงบประมาณ เงินทุน โดยร้อยละ 80 มาจาก สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4. งานที่สำเร็จคือภาคี ที่สำคัญ คือ อปท. และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล (รพ.สต.) ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข และ 5. มีกิจกรรมที่ต่อเนื่องกันไปในหลายมิติ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (15 ธ.ค.) นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงทิศทางและนโยบายการดูแลผู้สูงอายุไทยรองรับสังคมสูงวัย ว่า การออกแบบระบบการเข้าถึงบริการสุขภาพของนโยบายรัฐบาลชุดนี้เน้นสิ่งที่เรียกว่า “สังคมเกื้อกูลกัน” โดยขณะนี้กำลังสร้างความร่วมมือ โดยเป็นการบูรณาการของ 5 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และ สธ. โดยดูแลตั้งแต่ระบบเริ่มต้นเข้าสู่การเป็นสูงอายุและยังสุขภาพดีอยู่ จนกระทั่งเข้าสู่วาระเป็นผู้ป่วยแบบติดเตียง ด้วยการสร้าง “ทีมหมอครอบครัว” ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนมั่นใจและอุ่นใจ เมื่อเจ็บป่วยถ้าต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกเคว้งคว้าง
"เราอยากให้มีทีมหมอครอบครัวดูแลประชาชนทุกแห่ง โดยการออกแบบอาจจะมีทีมหมอประจำ ซึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อทีมหมอได้โดยตรง โดยในปี 2558 จะมีเป้าหมายการดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียงให้ชัดเจนในเชิงปริมาณที่พอจัดการได้ โดยเน้นจัดการดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียงและยากจน โดยเป็นการออกแบบหลายโมเดล โดยหลัก สธ. ไม่ได้ดูแลอยู่หน่วยเดียวแต่เป็นผู้เชื่อมโยงหน่วยอื่นๆ เข้าด้วยกัน” รมช.สาธารณสุข กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นวันที่ 22 ธ.ค. จะเปิดตัวโครงการทีมหมอครอบครัว ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยจะนำร่อง 250 อำเภอ ก่อนขยายทั่วประเทศต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทีมหมอครอบครัวจะมุ่งไปที่บุคลากรสาธารณสุขระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) เนื่องจากใกล้ชิดชาวบ้าน โดยเฉพาะ รพ.สต. หรือสถานีอนามัย กำลังพิจารณาว่าจะมีค่าตอบแทนอะไรที่เป็นขวัญและกำลังใจ เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนกลุ่มนี้ เพื่อจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชน
นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การจัดทีมหมอครอบครัว จะไม่ใช่ว่าต้องเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเท่านั้น เพียงแต่จะมีแพทย์เป็นผู้ให้คำปรึกษา แต่หลักๆ ทีมหมอครอบครัว จะเป็นทั้งพยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด ฯลฯ เพื่อดูแลชาวบ้านโดยเฉพาะ ทำให้ชาวบ้านสามารถโทรศัพท์ปรึกษาเรื่องสุขภาพกับหมอประจำของตัวเอง หรือที่เรียกว่า หมอใกล้บ้านนั่นเอง ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ดีกว่าการรักษาโรคเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น
ด้าน นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โดยหลักการทำงานแล้วท้องถิ่นมีรูปแบบการทำงาน คือ งาน เงิน คน กฎหมาย โดยขณะนี้ภารกิจที่ทำเพื่อผู้สูงอายุมีข้อจำกัดเรื่องข้อกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่ได้ท้วงติงไว้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่มีระเบียบรองรับอะไรให้ท้องถิ่นดูแลผู้สูงอายุได้ อีกทั้งบุคลากรท้องถิ่นเองมีไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เรามีหน้าที่แต่ไม่มีอำนาจทำได้แต่ไม่ให้ใช้เงิน ปัจจุบันท้องถิ่นไม่ได้สังกัดหน่วยงานไหน แต่อยู่ภายใต้การทำงานจังหวัดของอำเภอ โดยขณะนี้ติดขัดเรื่องอำนาจการเบิกจ่าย ที่ไม่สามารถส่งเสริมหรือสนับสนุนระบบผู้สูงอายุได้เต็มที่
นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า มิติด้านการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุมีกรอบที่กว้างกว่าระบบบริการสาธารณสุขทั่วไป ขณะนี้แต่ละกระทรวงมีแผนงานผู้สูงอายุเป็นของตัวเองในระบบแนวดิ่ง โดยท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากในการดูแลระบบสุขภาพผู้สูงอายุ ส่วนราชการต้องมีหน้าที่ในการเสริมพลังท้องถิ่นให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องกลไกทางการเงินที่ท้องถิ่นติดขัดอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบัน สปสช. ยังอาศัยแนวคิดเรื่องกองทุนตำบลอยู่ แต่มีแนวคิดเรื่องการตั้งกองทุนระดับพื้นที่ โดยกำลังมีการเสนองบประมาณปี 2559 มีข้อเสนอเรื่องงบประมาณดูแลผู้สูงอายุระยะยาว มีการนำร่องดำเนินการไปแล้วใน 11 พื้นที่ สิ่งที่ขาดหายไปและจำเป็นต้องทำคือเรื่องกฎหมาย โดยทำเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยแก้ระเบียบให้ท้องถิ่นสามารถนำเงินมาบริหารจัดการดูแลผู้สูงอายุได้
ศ.เกียรติคุณ นพ.พงษ์ศิริ ปรารถนาดี รองประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เท่าที่ทำงานด้านพัฒนาผู้สูงอายุมานานได้ข้อสังเกตว่าชมรมผู้สูงอายุที่เข้มแข็ง ต้องมี 5 คุณสมบัติ 1. มีอุดมการณ์ วัตถุประสงค์ชัดเจน 2. คณะกรรมการ ประธาน ชมรม มีความสามัคคี มีความโปร่งใส 3. มีงบประมาณ เงินทุน โดยร้อยละ 80 มาจาก สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4. งานที่สำเร็จคือภาคี ที่สำคัญ คือ อปท. และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล (รพ.สต.) ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข และ 5. มีกิจกรรมที่ต่อเนื่องกันไปในหลายมิติ
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่