รองนายกฯ เผย 25 ธันวาฯ แถลงผลงานกระทรวงทางสังคม รับโปรเจกต์ “พัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต” ยังเป็นแค่แนวคิด เกิดได้ในปี 58 แย้มจะเริ่มจากการดูแลเด็กระยะต้นช่วงอายุ 0-5 ปีก่อน แต่ยังไม่ตกผนึกจะช่วยเป็นเงินสดหรือคูปอง
นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลงานด้านสังคม ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมแถลงผลงานรัฐบาลในมิติของสังคมในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ว่า จะแถลงในผลงานของ 4 กระทรวงที่กำกับดูแล คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในสังกัดที่มีการรวบรวมข้อมูลและส่งร่างคำแถลงมาที่ตนเป็นร่างที่ 6 แล้ว แต่ยังไม่ได้ร่างฯ สุดท้าย ซึ่งเป็นผลงานที่เพิ่งทำงานมา 3 เดือน ได้ทำอย่างจริงจัง ทำทันทีและทำให้ยั่งยืนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำชับ ครม.ไว้ ส่วนความพอใจในงานที่ทำนั้นตนขอให้ประชาชนตัดสินแต่ยืนยันว่าได้ทำงานเต็มที่แล้ว
ส่วนแนวคิดของการทำโครงการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงชีวิตที่เป็นหนึ่งในงานที่กำลังจะดำเนินการ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเพียงแนวความคิดของรัฐบาลที่เป็นโครงการบูรณาการงบประมาณ 1 ใน 19 โครงการที่จะดำเนินงานในปีงบประมาณ 2559 เป็นต้นไป คือวันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
ส่วนแนวคิดการพัฒนาคนตลอดชีวิตจะต้องพิจารณาตั้งแต่ระยะต้น คือ อายุ 0-5 ปี ที่ยังไม่มีการดูแลและคุ้มครองทั้งที่งานวิจัยพบว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีความสำคัญที่สุดของชีวิต ในเรื่องของการพัฒนาการ สมอง ร่างกาย การเรียนรู้ ที่ความจำเป็นจะต้องดูแลเด็กในช่วงนี้ แต่ขณะนี้มีการดูแลเด็กตั้งแต่วัยเรียนจนถึงวัยทำงาน และวัยสูงอายุ ที่ดูแลครบแล้ว แต่ช่วงปฐมวัยยังไม่มีการคุ้มครองและส่งเสริม จึงต้องมีการดูแลในส่วนนี้ด้วย
“โครงการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตเป็นแนวคิดที่จะเกิดขึ้นปลายปี 2558 ก็อาจจะเป็นของขวัญปลายปีหน้า แต่ก็ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ปีนี้ได้ในแง่ของขวัญเชิงโครงการ ที่แนวคิดนำมาจากหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งงานวิจัยของยูนิเซฟด้วย ที่บอกว่าควรจะมีการสนับสนุนผู้ปกครองของเด็ก ที่มีการศึกษาว่าของไทยน่าจะใช้เงิน 400 บาทต่อเดือน ซึ่งยังไม่ใช่แนวการศึกษาของเรา แต่เป็นการนำผลการศึกษาที่อื่นมาเสนอให้พิจารณาว่าหากรับแนวทางนี้ไปจะปฏิบัติได้หรือไม่ ทั้งนี้ลองคิดง่ายว่า หาก 400 บาท/เดือน คูณ 12 เดือน ก็ 4,800 บาท/เดือน ต่อครอบครัวในระยะเวลา 5 ปีก็ประมาณ 25,000 บาท และจะมีเด็กเกิดปีละ 5 แสนคนก็เป็นเงินงบประมาณประมาณหมื่นกว่าล้านบาทซึ่งไม่ใช่น้อย ดังนั้นจะต้องดูว่าควรจะทำอย่างไร”
นายยงยุทธกล่าวว่า หากจำเป็นจะต้องสนับสนุนเป็นเงินก็ต้องหารือกันอีกว่าจะให้อย่างไร ให้ใครบ้าง ถ้าให้ทั้งหมดจะไหวหรือไม่ จะเหมือนกับกรณีเบี้ยผู้สูงอายุหรือไม่ที่มีหลายคนเขาไม่ต้องการแต่เขาก็มารับไป หรือจะให้เป็นสิ่งของแทน เช่น คูปองสำหรับซื้อนม อาหารหรือธาตุไอโอดีนที่เด็กไทยยังขาดและกระทบต่อสติปัญญาการพัฒนาการของเด็ก ก็ต้องมาคิดว่าจะให้อย่างไร และจะเชิญภาคเอกชนมามีส่วนร่วมได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องของธรรมาภิบาลของภาคเอกชนที่เขาต้องการมีส่วนร่วมอยู่แล้ว
“ส่วนจะคุ้มครองและส่งเสริมอย่างไร การให้เงินหรือให้คูปองหรืออย่างไร จำเป็นที่จะต้องหารือกันต่อไป โดยจะมีการประชุมของคณะกรรมการเพื่อจัดทำงบประมาณเชิงบูรณาการฯ ในวันที่ 29 ธันวาคม เพื่อจัดเตรียมก่อนนำเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 13 มกราคม 2558 แล้วจะตัดสินใจอีกครั้ง จึงเป็นคำถามปลายเปิดอยู่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ในช่วงต้นปี 2558 จะมีการประชุมของยูนิเซฟที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ จะไปพูดเรื่องเด็กปฐมวัยที่ผมอยากจะไปฟังด้วย”