ผู้ป่วยโรคไตจวกประกันสังคมทำผู้ป่วยล้มละลายจากค่ารักษา เหตุต้องสำรองจ่ายเอง ยิ่งโรคเรื้อรังต้องกู้หนี้ยืมสินจนถึงหนี้นอกระบบ เบิกเงินคืนช้า ไม่พอจ่ายค่าหนี้ จี้ปรับปรุงระบบยกเลิกสำรองจ่าย เพิ่มสิทธิเท่าเทียมบัตรทอง หนุนย้ายให้ สปสช. ดูแล
นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมผู้ป่วยโรคไต กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกันตนของระบบประกันสังคมได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลด้อยกว่ากองทุนสุขภาพระบบอื่น โดยเฉพาะผู้ประกันจะต้องสำรองจ่าย แต่ระบบการอนุมัติเงินคืนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ค่อนข้างล่าช้า แม้จะมีการแก้ไขให้ทางจังหวัดอนุมัติภายใน 3 เดือน จากเดิมใช้เวลานานถึง 6 เดือนแล้วก็ตาม ถือเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ประกันตนอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาสำรองจ่าย ซึ่งบางคนถึงกับต้องไปกู้หนี้นอกระบบ พอได้เงินชดเชยกลับมาก็ไม่พอจ่ายค่าหนี้ ทำให้หลายคนล้มละลายจากการรักษาพยาบาลด้วยระบบประกันสังคมไปหลายคน
“อย่างผู้ป่วยโรคไต สปส. ให้ค่าล้างไตครั้งละ 1,500 บาท แต่รวมไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน ถ้าเกินจากนี้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเอง ขณะที่ความเป็นจริงผู้ป่วยโรคไตต้องล้างไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หนึ่งเดือนต้องล้างไต 12 - 13 ครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีค่าอุปกรณ์ล้างทำความสะอาดบริเวณช่องท้องด้วย รวมแล้วมีผู้ประกันตนต้องจ่ายเพิ่มอีกมากกว่าเดือนละ 4,000 บาท แตกต่างจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่จ่ายให้ตามค่าใช้จ่ายจริง ผมซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตในระบบบัตรทอง เห็นเพื่อนผู้ป่วยโรคไตด้วยกันในระบบประกันสังคมได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยยากไร้ ทั้งที่จ่ายเงินสมทบทุกเดือน เพื่อหวังจะได้รับสวัสดิการการรักษาที่ดี จึงอยากให้ สปส. ปรับปรุงระบบ” นายธนพล กล่าว
นายธนพล กล่าวว่า ที่ผ่านมา สปส. เอาแต่นิ่งเฉย ทั้งที่มีเงินในกองทุนมากมาย จึงอยากให้ สปส. ปรับปรุงโดยให้ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย เพิ่มสวัสดิการการรักษาพยาบาลอย่างน้อยให้เท่าเทียมกับบัตรทอง และควรมีระบบการชดเชย เยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขด้วย เพราะทุกวันนี้ไม่มีเลย ส่วนกรณีมีผู้เสนอให้รวมกองทุนแล้วให้ผู้ประกันตนไปอยู่ในการดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นั้น ตนเห็นด้วย เพื่อให้เกิดบริการที่เป็นมาตรฐานเดียว เพราะทุกคนเป็นคนไทย
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมผู้ป่วยโรคไต กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกันตนของระบบประกันสังคมได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลด้อยกว่ากองทุนสุขภาพระบบอื่น โดยเฉพาะผู้ประกันจะต้องสำรองจ่าย แต่ระบบการอนุมัติเงินคืนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ค่อนข้างล่าช้า แม้จะมีการแก้ไขให้ทางจังหวัดอนุมัติภายใน 3 เดือน จากเดิมใช้เวลานานถึง 6 เดือนแล้วก็ตาม ถือเป็นการสร้างภาระให้กับผู้ประกันตนอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาสำรองจ่าย ซึ่งบางคนถึงกับต้องไปกู้หนี้นอกระบบ พอได้เงินชดเชยกลับมาก็ไม่พอจ่ายค่าหนี้ ทำให้หลายคนล้มละลายจากการรักษาพยาบาลด้วยระบบประกันสังคมไปหลายคน
“อย่างผู้ป่วยโรคไต สปส. ให้ค่าล้างไตครั้งละ 1,500 บาท แต่รวมไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน ถ้าเกินจากนี้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเอง ขณะที่ความเป็นจริงผู้ป่วยโรคไตต้องล้างไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หนึ่งเดือนต้องล้างไต 12 - 13 ครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีค่าอุปกรณ์ล้างทำความสะอาดบริเวณช่องท้องด้วย รวมแล้วมีผู้ประกันตนต้องจ่ายเพิ่มอีกมากกว่าเดือนละ 4,000 บาท แตกต่างจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่จ่ายให้ตามค่าใช้จ่ายจริง ผมซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตในระบบบัตรทอง เห็นเพื่อนผู้ป่วยโรคไตด้วยกันในระบบประกันสังคมได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยยากไร้ ทั้งที่จ่ายเงินสมทบทุกเดือน เพื่อหวังจะได้รับสวัสดิการการรักษาที่ดี จึงอยากให้ สปส. ปรับปรุงระบบ” นายธนพล กล่าว
นายธนพล กล่าวว่า ที่ผ่านมา สปส. เอาแต่นิ่งเฉย ทั้งที่มีเงินในกองทุนมากมาย จึงอยากให้ สปส. ปรับปรุงโดยให้ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย เพิ่มสวัสดิการการรักษาพยาบาลอย่างน้อยให้เท่าเทียมกับบัตรทอง และควรมีระบบการชดเชย เยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขด้วย เพราะทุกวันนี้ไม่มีเลย ส่วนกรณีมีผู้เสนอให้รวมกองทุนแล้วให้ผู้ประกันตนไปอยู่ในการดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นั้น ตนเห็นด้วย เพื่อให้เกิดบริการที่เป็นมาตรฐานเดียว เพราะทุกคนเป็นคนไทย
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่