xs
xsm
sm
md
lg

3 เทคนิคเลือกรองเท้ากีฬา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รองเท้ากีฬาออกแบบขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา และป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งกีฬาแต่ละประเภทจะมีการเคลื่อนไหวเท้าที่แตกต่างกัน โอกาสเกิดการบาดเจ็บก็จะต่างกันไป ทำให้รองเท้ากีฬามีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามกีฬาที่เลือกเล่น

แล้วเมื่อไรที่เราควรซื้อรองเท้ากีฬา

ประเด็นนี้ ผศ.พญ.กุลภา ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าคลินิกสุขภาพเท้า ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล แนะนำว่า ให้ดูโหงวเฮ้งตัวเองก่อนว่าหน้าอย่างเราจะเล่นกีฬาบ่อยแค่ไหน อย่างนักกีฬาหรือคนที่เล่นกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างจริงจังเป็นประจำควรซื้อรองเท้ากีฬามาใส่โดยเฉพาะ ส่วนบางคนที่เล่นบ้างไม่เล่นบ้างแต่โดยเฉลี่ยแล้วมีการเล่นมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ควรซื้อมาใส่เช่นกัน แต่หากเล่นเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้จริงจัง ระยะเวลาในการเล่นน้อย ก็อาจไม่จำเป็นต้องซื้อมาใส่

วิธีเลือกซื้อรองเท้ากีฬา

ผศ.พญ.กุลภา บอกว่า ให้พิจารณาจาก 1.รูปร่างเท้ามี 3 แบบคือ

โก่งลอย ส่วนกลางของฝ่าเท้าจะได้รับแรงกระแทกมาก ต้องเลือกรองเท้าที่มีพื้นหนานุ่ม

อุ้งเท้าโก่ง ควรเลือกรองเท้าที่มีส้นฐานกว้าง เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับเท้า

และอุ้งเท้าแบน เท้าจะมีลักษณะเอียงเข้าด้านใน และส่วนกลางของเท้ากว้าง ควรเลือกรองเท้าที่โครงสร้างของส่วนหุ้มข้อเท้าแข็งแรง ลดการเอียงล้มเข้าด้านใน และไม่เลือกรองเท้าที่มีส่วนกลางคอด

2.เวลาในการเลือกซื้อรองเท้า ควรเลือกซื้อรองเท้าเวลาใกล้เคียงกับที่เล่นกีฬา เพื่อให้รองเท้ามีความพอดีกับเท้า หากหลวมเกินไป อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะเท้ามีขนาดเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา อย่างตอนเช้าเท้าจะเล็กที่สุด หากเล่นกีฬาตอนเช้าก็ต้องเลือกซื้อรองเท้าเวลาใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่สุด เพื่อให้รองเท้ามีความพอดี เพราะหากมีการเดินมากในแต่ละวันจนเท้าขยายเมื่อเลือกซื้อรองเท้าในช่วงบ่ายหรือเย็น พอนำมาสวมเล่นกีฬาในช่วงเช้าก็อาจทำให้รองเท้าหลวมเกินไปได้

3.เลือกให้เหมาะสมกับกีฬาที่เล่น โดยรองเท้ากีฬามี 3 ประเภท คือ

รองเท้ากีฬาสำหรับวิ่ง แบ่งเป็นรองเท้าจ๊อกกิ้ง ซึ่งการวิ่งจะลงส้นแล้วส่งน้ำหนักไปที่หน้าเท้า รองเท้าจ๊อกกิ้งจึงมีการเสริมส้นหนาและบานออกเพื่อรับแรงกระแทก ป้องกันการล้ม อีกแบบคือการรองเท้าสปรินเตอร์ สำหรับนักวิ่งแข่ง หรือการวิ่งบนลู่ รองเท้าแบบนี้จะมีตุ่มแหลมเพื่อช่วยจิกตะกรุยพื้นให้วิ่งถีบไปข้างหน้าได้

รองเท้ากีฬาประเภทเล่นในคอร์ด อย่างเทนนิสที่มีการยืนบนหน้าเท้าตลอด และมีการเคลื่อนไหวของเท้าในทิศทางต่างๆ มาก ก็ต้องเลือกรองเท้าที่มีการเสริมความแข็งแรงที่หน้าเท้า รวมถึงรอบบริเวณหน้าเท้าและนิ้ว เพื่อป้องกันโครงสร้างรองเท้าสึกและการบาดเจ็บจากการสไลด์ตัว เป็นต้นหรือบาสเกตบอลที่มีการกระโดดมาก รองเท้าก็จะมีลักษณะหุ้มข้อขึ้นมา เพื่อช่วยเตือนผู้เล่นให้ทราบว่าข้อเท้าอยู่ในท่าตรงหรือไม่ ป้องกันเท้าพลิก

รองเท้าประเภทสนาม จะเป็นตุ่มหนามเพื่อช่วยจิกสนามไม่ให้ลื่นไถล เช่น รองเท้าฟุตบอล แต่ตัวรองรับแรงกระแทกที่พื้นจะไม่เยอะ เพราะเล่นบนหญ้า บนพื้นดินที่มีความนุ่มช่วยรับแรงกระแทก เป็นต้น

รองเท้ากีฬาประเภทครอสเทรนนิง (Cross-training) เป็นรองเท้าลูกผสมของรองเท้ากีฬา 3 แบบ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้เล่นกีฬาหลากหลาย ไม่ได้เน้นเล่นอะไรเป็นพิเศษ หรือชอบเล่นฟิตเนส ซึ่งจะมีการทั้งการเต้นแอโรบิก ขี่จักรยาน วิ่งลู่ ก็จะมี ซึ่งรองเท้าจะมีการเสริมรับแรงกระแทกทั้งด้านหน้าด้านหลัง ไม่ได้มีลักษณะโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษก็อาจเลือกใช้รองเท้ากลุ่มนี้ได้

รองเท้าเป็นลักษณะนิ้วเท้า เพื่อให้เหมือนกับการวิ่งเท้าเปล่ามากที่สุด จากการศึกษาพบว่าไม่ได้ดีกว่าหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บมากกว่ารองเท้ากีฬา แต่ผู้ที่ใช้รองเท้ากีฬานี้เท้าจะต้องไม่มีความปิดปกติ

และรองเท้าขาเพรียว ที่พื้นรองเท้าจะโค้งเหมือนท้องเรือ ใส่แล้วจะไม่มีความมั่นคง รู้สึกโยกตลอดเวลา จึงต้องใช้กล้ามเนื้อในการทรงตัวบนรองเท้าและก้าวเดินอย่างมาก จึงโฆษณาว่าทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตลอดเวลา ช่วยให้สะโพกกระชับ กล้ามเนื้อน่องเรียวเล็ก แต่จากการศึกษาพบว่ามีการใช้กล้ามเนื้อเยอะจริง แต่ไม่ถึงกับช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากถึงขั้นกระชับสัดส่วน โดยผู้สวมจะต้องไม่มีปัญหาเท้าผิดปกติ

ผศ.พญ.กุลภา บอกอีกว่า หากจะเลือกรองเท้ากีฬานอกจากหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว ควรเลือกคู่ที่เราถูกใจก่อน แล้วค่อยเลือกขนาดที่เหมาะสมกับเท้าของเรา โดยจะต้องลองสวมทั้งสองข้าง เพราะเท้าทั้งสองข้างมีขนาดไม่เท่ากัน

และเมื่อเลือกรองเท้ากีฬาได้แล้ว ก็ถึงเวลาพารองเท้าคู่ใจไปออกกำลังกาย แต่อย่าลืมยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนเล่นกีฬากันสักนิด เพราะร่างกายอาจบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาได้

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น