ร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชฯ เพิ่มคำนิยามใหม่ ช่วยขายยาได้กว้างขึ้น ระบุต้องต่อใบประกอบวิชาชีพฯ ทุก 5 ปี ใช้การเก็บคะแนน CPE ประเมินความรู้ ชี้ช่วยรับประกันคนไข้ได้เภสัชฯมีคุณภาพ ย้ำหากไม่ต่อใบประกอบวิชาชีพหมดสิทธิทำหน้าที่ ห้ามอยู่หน้าร้านยา ส่วนเภสัชฯ รพ. ยังทำหน้าที่ต่อได้ เหตุไม่มีกฎหมายห้าม จับตา สธ. ออกประกาศคุมหรือไม่
ภก.อภิชาติ จันทนิสร์ อดีตนักวิชาการ สำนักงานวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ (สวค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณารับหลักการของร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรมแล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ คำนิยามของวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่มีการขยายคำนิยาม ในเรื่องการปรุงยาและการจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขตามที่กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพนั้นๆ กำหนด นอกเหนือจากแพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ และการดำเนินการปรุงยาและการขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา กฎหมายว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ทำให้สามารถขายยาได้กว้างกว่า
ภก.อภิชาติ กล่าวว่า อีกประเด็นคือเรื่องการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งแต่เดิมสอบรับใบประกอบวิชาชีพฯกับสภาเภสัชกรรมเพียงครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดชีวิต ก็เปลี่ยนมาเป็นต้องต่ออายุใบประกอบวิชาชีพฯทุก 5 ปี เพื่อประเมินว่ายังคงมีความรู้ได้มาตรฐานอยู่หรือไม่ เป็นการรับประกันกับคนไข้ว่า เภสัชกรที่จะจ่ายยารักษาให้เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถจริง ทำให้หลายคนมีข้อกังวล 2 เรื่องคือ 1.จะสอบเก็บคะแนนเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพอย่างไร โดยเฉพาะเภสัชกรที่อยู่อำเภอห่างไกลจะเดินทางสอบลำบากหรือไม่ เรื่องนี้จริงๆ แล้วเภสัชกรจะมีระบบเก็บคะแนนจากการศึกษาต่อเนื่อง ที่เรียกว่า CPE ผ่านทางอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว ซึ่งมีมากว่า 10 ปี แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้ จึงมีการนำระบบนี้มาใช้ โดยต้องทำให้ได้ 100 คะแนนใน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 20 คะแนน โดยแต่ละปีต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 10 คะแนน ซึ่งกลุ่มที่น่าห่วงคือเภสัชกรรุ่นเก่าที่อาจเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยาก นอกจากนี้ จะมีการอบรมด้วย
ภก.อภิชาติ กล่าวว่า 2.ค่าธรรมเนียมต่อใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่กำหนดฉบับละ 2,500 บาท หลายคนคิดว่าแพงเกินไป แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าเฉลี่ยปีละ 500 บาทเท่านั้น ไม่ใช่จำนวนที่แพงเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้สภาเภสัชกรรมก็มีการกำหนดออกมาแล้วว่าจะให้ต่ออายุใบประกอบวิชาชีพ 500 บาททุก 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ100 บาทเท่านั้ย อย่างไรก็ตาม หากเภสัชกรไม่สอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพก็จะไม่สามารถทำหน้าที่วิชาชีพเภสัชกรรมตามที่กฎหมายระบุไว้ได้ ไม่สามารถเป็นเภสัชกรประจำร้านยาได้ ส่วนกลุ่มข้าราชการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเภสัชกรในโรงพยาบาลนั้นก็อาจไม่ได้รับค่าวิชาชีพ รวมถึงค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เช่น การเตรียมยาที่มีความเสี่ยง อาทิ ยามะเร็ง ยาวัณโรค เป็นต้น
“ที่ผ่านมาไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่าในโรงพยาบาลผู้จ่ายยาจะต้องเภสัชกรเท่านั้น เพราะคนไข้ที่มีจำนวนมากจะให้เภสัชกรจ่ายยาทุกเคสเป็นไปได้ไม่ แต่ตามมาตรฐานคือจะต้องมีเภสัชกรควบคุมการจ่ายยา คำถามคือหากเภสัชกรในโรงพยาบาลไม่สอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพจะยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าในทางปฏิบัติไม่น่ามีปัญหา เพราะความรู้ความสามารถมีเพียงพอในการควบคุมการจ่ายยา แต่เรื่องนี้อยู่ที่นโยบายของแต่ละหน่วยงานด้วยว่าให้ความสำคัญหรือไม่ อย่างโรงพยาบาลสังกัด สธ. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็อาจต้องออกประกาศว่าเภสัชกรในโรงพยาบาลจะต้องเป็นผู้มีใบประกอบวิชาชีพฯเท่านั้น เป็นต้น เพื่อให้สอดรับกับพ.ร.บ. แต่คิดว่าเภสัชกรเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหาในเรื่องการสอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพฯ” ภก.อภิชาติ กล่าว
อนึ่ง ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 ระบุว่า วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการเตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุมและการประกันคุณภาพยา การปรุงและจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ รวมทั้งการดำเนินการปรุงยาและขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา
ส่วนร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม ระบุว่า วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการเตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุมและการประกันคุณภาพยา การปรุงและจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขตามที่กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพนั้นๆ กำหนด รวมทั้งการดำเนินการปรุงยาและขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา กฎหมายว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
ภก.อภิชาติ จันทนิสร์ อดีตนักวิชาการ สำนักงานวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ (สวค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณารับหลักการของร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรมแล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ คำนิยามของวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่มีการขยายคำนิยาม ในเรื่องการปรุงยาและการจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขตามที่กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพนั้นๆ กำหนด นอกเหนือจากแพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ และการดำเนินการปรุงยาและการขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา กฎหมายว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ทำให้สามารถขายยาได้กว้างกว่า
ภก.อภิชาติ กล่าวว่า อีกประเด็นคือเรื่องการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งแต่เดิมสอบรับใบประกอบวิชาชีพฯกับสภาเภสัชกรรมเพียงครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดชีวิต ก็เปลี่ยนมาเป็นต้องต่ออายุใบประกอบวิชาชีพฯทุก 5 ปี เพื่อประเมินว่ายังคงมีความรู้ได้มาตรฐานอยู่หรือไม่ เป็นการรับประกันกับคนไข้ว่า เภสัชกรที่จะจ่ายยารักษาให้เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถจริง ทำให้หลายคนมีข้อกังวล 2 เรื่องคือ 1.จะสอบเก็บคะแนนเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพอย่างไร โดยเฉพาะเภสัชกรที่อยู่อำเภอห่างไกลจะเดินทางสอบลำบากหรือไม่ เรื่องนี้จริงๆ แล้วเภสัชกรจะมีระบบเก็บคะแนนจากการศึกษาต่อเนื่อง ที่เรียกว่า CPE ผ่านทางอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว ซึ่งมีมากว่า 10 ปี แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้ จึงมีการนำระบบนี้มาใช้ โดยต้องทำให้ได้ 100 คะแนนใน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 20 คะแนน โดยแต่ละปีต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 10 คะแนน ซึ่งกลุ่มที่น่าห่วงคือเภสัชกรรุ่นเก่าที่อาจเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยาก นอกจากนี้ จะมีการอบรมด้วย
ภก.อภิชาติ กล่าวว่า 2.ค่าธรรมเนียมต่อใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่กำหนดฉบับละ 2,500 บาท หลายคนคิดว่าแพงเกินไป แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าเฉลี่ยปีละ 500 บาทเท่านั้น ไม่ใช่จำนวนที่แพงเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้สภาเภสัชกรรมก็มีการกำหนดออกมาแล้วว่าจะให้ต่ออายุใบประกอบวิชาชีพ 500 บาททุก 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ100 บาทเท่านั้ย อย่างไรก็ตาม หากเภสัชกรไม่สอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพก็จะไม่สามารถทำหน้าที่วิชาชีพเภสัชกรรมตามที่กฎหมายระบุไว้ได้ ไม่สามารถเป็นเภสัชกรประจำร้านยาได้ ส่วนกลุ่มข้าราชการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเภสัชกรในโรงพยาบาลนั้นก็อาจไม่ได้รับค่าวิชาชีพ รวมถึงค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เช่น การเตรียมยาที่มีความเสี่ยง อาทิ ยามะเร็ง ยาวัณโรค เป็นต้น
“ที่ผ่านมาไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่าในโรงพยาบาลผู้จ่ายยาจะต้องเภสัชกรเท่านั้น เพราะคนไข้ที่มีจำนวนมากจะให้เภสัชกรจ่ายยาทุกเคสเป็นไปได้ไม่ แต่ตามมาตรฐานคือจะต้องมีเภสัชกรควบคุมการจ่ายยา คำถามคือหากเภสัชกรในโรงพยาบาลไม่สอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพจะยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าในทางปฏิบัติไม่น่ามีปัญหา เพราะความรู้ความสามารถมีเพียงพอในการควบคุมการจ่ายยา แต่เรื่องนี้อยู่ที่นโยบายของแต่ละหน่วยงานด้วยว่าให้ความสำคัญหรือไม่ อย่างโรงพยาบาลสังกัด สธ. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็อาจต้องออกประกาศว่าเภสัชกรในโรงพยาบาลจะต้องเป็นผู้มีใบประกอบวิชาชีพฯเท่านั้น เป็นต้น เพื่อให้สอดรับกับพ.ร.บ. แต่คิดว่าเภสัชกรเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหาในเรื่องการสอบเพื่อต่อใบประกอบวิชาชีพฯ” ภก.อภิชาติ กล่าว
อนึ่ง ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 ระบุว่า วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการเตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุมและการประกันคุณภาพยา การปรุงและจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ รวมทั้งการดำเนินการปรุงยาและขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา
ส่วนร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม ระบุว่า วิชาชีพเภสัชกรรม เป็นวิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการเตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุมและการประกันคุณภาพยา การปรุงและจ่ายยาตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ หรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขตามที่กฎหมายว่าด้วยวิชาชีพนั้นๆ กำหนด รวมทั้งการดำเนินการปรุงยาและขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา กฎหมายว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่