ห่วงคนไทยมีภาวะโภชนาการเกิน สธ.เน้นผลิตอาหารปลอดภัย บังคับใช้กฎหมายหลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ส่งเสริมโภชนาการป้องกันโรคอ้วน สารเคมีปนเปื้อนอาหาร แนะประชาชนยึดสูตรอาหาร 6:6:1 กินแล้วไม่ก่อโรค ขณะที่ผลสุ่มตรวจเฝ้าระวังความปลอดภัยอาหารตกเกณฑ์ 4%
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 16 ต.ค.ของทุกปี เป็นวันอาหารโลก เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของอาหาร ทั้งเรื่องการผลิตที่ปลอดภัย คุณค่าของอาหารและโภชนาการ ซึ่งขณะนี้กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอดอยาก ขาดแคลนอาหาร ส่วนใหญ่อยู่ทวีปแอฟริกา และเอเชีย ส่วนประเทศไทย มีแนวโน้มจะเกิดปัญหาภาวะโภชนาการเกินมากกว่าการขาดแคลน รมว.สาธารณสุข ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ร่วมกับกรมวิชาการต่างๆ เน้นการแก้ปัญหาโภชนาการตามกลุ่มประชากร และสร้างความเข้มแข็งระบบการติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัยและการบังคับใช้กฎหมายหลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ผลการเฝ้าระวังภาวะโภชนาการ ประชาชนกลุ่มอายุ 6-12 ปี ในปี 2557 พบอ้วนและเริ่มอ้วนร้อยละ 9.5 และปัญหาการปนเปื้อนสารอันตาย เช่น สารกันบูด สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง เป็นต้น ก่อให้เกิดผลกระทบสุขภาพในระยะสั้น ภายในไม่กี่ชั่วโมง เช่น โรคอาหารเป็นพิษ โรคอุจจาระร่วง ในปี2556 ป่วยรวมกัน 1,262,449 ราย เสียชีวิต 13 ราย และปัญหาสารอันตรายตกค้างสะสมในร่างกาย เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุเสียชีวิตมากอันดับ 1ของประเทศ ปีละประมาณ 60,000 ราย สำหรับสถานการณ์ความปลอดภัยอาหาร ได้เก็บตัวอย่างอาหารดิบ ผักผลไม้ อาหารพร้อมบริโภค ที่จำหน่ายในตลาดค้าส่ง ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านอาหาร แผงลอย โรงอาหารในโรงเรียน โรงครัวของโรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็ก รวม 866,710 ตัวอย่าง พบตกเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย 36,563 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 4อาหารที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ได้แก่ น้ำดื่ม น้ำแข็ง น้ำมันทอดซ้ำ และอาหารปรุงสำเร็จ ส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากภาชนะที่ใส่อาหารไม่สะอาด มือผู้สัมผัสอาหาร พ่อค้า-แม่ค้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามสุขอนามัยที่ดี เช่น ไม่ล้างมือ ไม่ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารจึงได้สั่งกำชับให้ทุกจังหวัดจัดอบรมให้ความรู้ในเรื่อง สุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดีในการปรุงประกอบอาหาร
ด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารเป็นแหล่งพลังงาน เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญต่อสติปัญญาและสุขภาพ ช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปีงบประมาณ 2558 นี้ กรมอนามัยได้จัดโครงการพัฒนาด้านโภชนาการอาหาร 6 โครงการได้แก่ 1.การจัดทำแนวทางบริหารจัดการพัฒนาอาหาร โภชนาการ และสุขอนามัยโรงเรียน เพื่อให้นักเรียน รวมทั้งที่ศูนย์เด็กเล็ก มีอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด ปลอดภัย โดยให้โรงเรียนจัดบริการอาหารกลางวัน ซึ่งเป็น 1 มื้อหลัก และอาหารว่าง -นม เช้าหรือบ่าย 2. โครงการเด็กไทยสูงสมส่วน สมองดี แข็งแรง ส่งเสริมให้เด็กได้กินอาหารตามวัย เพื่อการเจริญเติบโต 3. โครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพในเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เน้นให้มีอาหารที่มีคุณค่าและปลอดภัยอย่างเพียงพอ
นพ.พรเทพ กล่าวว่า 4. โครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพทางด้านอาหารและโภชนาการ ส่งเสริมการกินอาหารลดความหวาน มัน เค็มลง เพิ่มกินผักและผลไม้ตามฤดูกาล มีเมนูท้องถิ่นชูสุขภาพ 5.โครงการลดหวานมันเค็ม กินให้ได้ตามสูตร 6:6:1คือกินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และ 6.การให้ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบประกอบอาหารที่ปลอดสารอันตราย เน้นการสร้างความฉลาดในการซื้อ ปรุง และกิน โดยบริโภคข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย หุงข้าวผสมธัญพืช เช่นข้าวโพด เผือก ถั่ว มัน เพิ่มวิตามิน กินอยู่ท้อง และได้เส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายดีขึ้น เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนัง ติดมัน หากซื้อไก่ควรซื้อทั้งกระดูก เพื่อเลาะเนื้อมาทำกับข้าว และใช้กระดูกต้มเป็นน้ำซุปได้ หากเป็นไปได้ควรปรุงอาหารกินเอง ซึ่งจะสามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณอาหารได้ ใช้เครื่องปรุงรสแต่น้อย เท่าที่จำเป็น อย่าทำอาหารหลายอย่างแล้วเหลือไว้กินทีหลัง จะทำให้เสียคุณค่าทางโภชนาการและความอร่อยด้วย นอกจากนี้ยังสนับสนุน ส่งเสริมให้ร้านอาหารและแผงลอยทั่วประเทศ พัฒนา ปรับปรุงการจำหน่ายอาหารให้ถูกหลักสุขาภิบาลอาหาร ตามโครงการ “อาหารสะอาด รสชาติอร่อย”
"ที่สำคัญควรเลือกกินอาหารแบบไทยๆ เช่นกินข้าวกับน้ำพริกผักสด ปลาทูทอด แกงเลียง แกงส้ม ซึ่งดีกว่าอาหารพวกฟาสต์ฟูดส์ เช่นไก่ทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เนื่องจากให้พลังงานสูง เมื่อกินเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมาได้และควรเลือกกินอาหารจากร้านอาหารและแผงลอย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาดจากหน่วยงานราชการ" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 16 ต.ค.ของทุกปี เป็นวันอาหารโลก เพื่อกระตุ้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของอาหาร ทั้งเรื่องการผลิตที่ปลอดภัย คุณค่าของอาหารและโภชนาการ ซึ่งขณะนี้กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอดอยาก ขาดแคลนอาหาร ส่วนใหญ่อยู่ทวีปแอฟริกา และเอเชีย ส่วนประเทศไทย มีแนวโน้มจะเกิดปัญหาภาวะโภชนาการเกินมากกว่าการขาดแคลน รมว.สาธารณสุข ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ร่วมกับกรมวิชาการต่างๆ เน้นการแก้ปัญหาโภชนาการตามกลุ่มประชากร และสร้างความเข้มแข็งระบบการติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัยและการบังคับใช้กฎหมายหลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ผลการเฝ้าระวังภาวะโภชนาการ ประชาชนกลุ่มอายุ 6-12 ปี ในปี 2557 พบอ้วนและเริ่มอ้วนร้อยละ 9.5 และปัญหาการปนเปื้อนสารอันตาย เช่น สารกันบูด สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง เป็นต้น ก่อให้เกิดผลกระทบสุขภาพในระยะสั้น ภายในไม่กี่ชั่วโมง เช่น โรคอาหารเป็นพิษ โรคอุจจาระร่วง ในปี2556 ป่วยรวมกัน 1,262,449 ราย เสียชีวิต 13 ราย และปัญหาสารอันตรายตกค้างสะสมในร่างกาย เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุเสียชีวิตมากอันดับ 1ของประเทศ ปีละประมาณ 60,000 ราย สำหรับสถานการณ์ความปลอดภัยอาหาร ได้เก็บตัวอย่างอาหารดิบ ผักผลไม้ อาหารพร้อมบริโภค ที่จำหน่ายในตลาดค้าส่ง ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านอาหาร แผงลอย โรงอาหารในโรงเรียน โรงครัวของโรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็ก รวม 866,710 ตัวอย่าง พบตกเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย 36,563 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 4อาหารที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ได้แก่ น้ำดื่ม น้ำแข็ง น้ำมันทอดซ้ำ และอาหารปรุงสำเร็จ ส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากภาชนะที่ใส่อาหารไม่สะอาด มือผู้สัมผัสอาหาร พ่อค้า-แม่ค้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามสุขอนามัยที่ดี เช่น ไม่ล้างมือ ไม่ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารจึงได้สั่งกำชับให้ทุกจังหวัดจัดอบรมให้ความรู้ในเรื่อง สุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดีในการปรุงประกอบอาหาร
ด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารเป็นแหล่งพลังงาน เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญต่อสติปัญญาและสุขภาพ ช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปีงบประมาณ 2558 นี้ กรมอนามัยได้จัดโครงการพัฒนาด้านโภชนาการอาหาร 6 โครงการได้แก่ 1.การจัดทำแนวทางบริหารจัดการพัฒนาอาหาร โภชนาการ และสุขอนามัยโรงเรียน เพื่อให้นักเรียน รวมทั้งที่ศูนย์เด็กเล็ก มีอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด ปลอดภัย โดยให้โรงเรียนจัดบริการอาหารกลางวัน ซึ่งเป็น 1 มื้อหลัก และอาหารว่าง -นม เช้าหรือบ่าย 2. โครงการเด็กไทยสูงสมส่วน สมองดี แข็งแรง ส่งเสริมให้เด็กได้กินอาหารตามวัย เพื่อการเจริญเติบโต 3. โครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพในเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เน้นให้มีอาหารที่มีคุณค่าและปลอดภัยอย่างเพียงพอ
นพ.พรเทพ กล่าวว่า 4. โครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพทางด้านอาหารและโภชนาการ ส่งเสริมการกินอาหารลดความหวาน มัน เค็มลง เพิ่มกินผักและผลไม้ตามฤดูกาล มีเมนูท้องถิ่นชูสุขภาพ 5.โครงการลดหวานมันเค็ม กินให้ได้ตามสูตร 6:6:1คือกินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และ 6.การให้ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบประกอบอาหารที่ปลอดสารอันตราย เน้นการสร้างความฉลาดในการซื้อ ปรุง และกิน โดยบริโภคข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย หุงข้าวผสมธัญพืช เช่นข้าวโพด เผือก ถั่ว มัน เพิ่มวิตามิน กินอยู่ท้อง และได้เส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายดีขึ้น เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนัง ติดมัน หากซื้อไก่ควรซื้อทั้งกระดูก เพื่อเลาะเนื้อมาทำกับข้าว และใช้กระดูกต้มเป็นน้ำซุปได้ หากเป็นไปได้ควรปรุงอาหารกินเอง ซึ่งจะสามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณอาหารได้ ใช้เครื่องปรุงรสแต่น้อย เท่าที่จำเป็น อย่าทำอาหารหลายอย่างแล้วเหลือไว้กินทีหลัง จะทำให้เสียคุณค่าทางโภชนาการและความอร่อยด้วย นอกจากนี้ยังสนับสนุน ส่งเสริมให้ร้านอาหารและแผงลอยทั่วประเทศ พัฒนา ปรับปรุงการจำหน่ายอาหารให้ถูกหลักสุขาภิบาลอาหาร ตามโครงการ “อาหารสะอาด รสชาติอร่อย”
"ที่สำคัญควรเลือกกินอาหารแบบไทยๆ เช่นกินข้าวกับน้ำพริกผักสด ปลาทูทอด แกงเลียง แกงส้ม ซึ่งดีกว่าอาหารพวกฟาสต์ฟูดส์ เช่นไก่ทอด มันฝรั่งทอด พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เนื่องจากให้พลังงานสูง เมื่อกินเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตามมาได้และควรเลือกกินอาหารจากร้านอาหารและแผงลอย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาดจากหน่วยงานราชการ" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
กำลังโหลดเครื่อง oncothermia ความหวังใหม่รักษามะเร็งเต้านม-ตับระยะท้าย ใช้คลื่นวิทยุยิงเฉพาะจุดมะเร็งจนเกิดความร้อน เอื้อยาเคมีบำบัดเข้าถึงมะเร็งง่ายขึ้น ผลศึกษาก้แนมะเร็งเต้านมยุบทั้งหมด 22% ผู้ป่วยมะเร็งตับอายุยืนขึ้น