สธ. นำร่องจัดบริการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย ดูแลจิตใจทั้งผู้ป่วยและญาติ ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ 16 แห่ง พร้อมขยายทีมดูแลผู้ป่วยถึง ระบุมะเร็งเจ็บปวดมากสุดก่อนเสียชีวิต เผยคนไทยเสียชีวิตสูงอันดับ 1 ปีละประมาณ 6 หมื่น ราย เฉลี่ยเสียชีวิต 1 คนทุก 8 นาที
วันนี้ (11 ตุลาคม ) ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอบรมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักสังคมสงเคราะห์ นักโภชนาการ กว่า 250 คนจากโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ 16 แห่งทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เป็นต้น ก่อนเสียชีวิต ซึ่งเป็นบริการใหม่ในระบบสุขภาพประเทศไทย ช่วยคลายทุกข์ญาติและผู้ป่วย ก่อนเสียชีวิต
นพ.รัชตะกล่าวว่า ขณะนี้ ทั่วโลกให้ความสนใจในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly) ที่กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19-24 พฤษภาคม 2557 ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและถือเป็นประเด็นที่ต้องส่งเสริมเพื่อให้มีการบริการอย่างทั่วถึง ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาวะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่ในภาวะที่พึ่งพิง รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม มีผลอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยเน้นการมีส่วนร่วมดูแลจากชุมชนและครอบครัว สำหรับบริการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตนี้ เป็นบริการใหม่ในระบบสุขภาพไทยและมีความจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่นมะเร็ง เบาหวาน โรคไต โรคเอดส์ เป็นต้น จำนวนมากรวมกว่า 4 ล้านราย และพบมากในผู้สูงอายุ โดยโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศติดต่อกันมากว่า 10 ปี คือโรคมะเร็ง เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 60,000 กว่าราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พบทุกหมู่บ้าน ในปี 2555 มีรายงานเสียชีวิต 63,272 ราย เฉลี่ย 1 รายทุก 8 นาที โรคนี้ทำผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะอาการปวดจากอวัยวะภายในที่เซลล์มะเร็งลุกลามไป
นพ.รัชตะกล่าวว่า ได้มอบให้กรมการแพทย์ พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้เหมาะสมกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแต่ละกลุ่มโรคและสถานพยาบาลแต่ละระดับ ตามบริบทสังคมไทย ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่มีมาตรฐาน เพื่อคลายอาการทุกข์จากการป่วยทั้งการจัดการความเจ็บปวด อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ และการดูแลด้านจิตใจ จิตวิญญาณตามหลักศาสนาแก่ผู้ป่วยและญาติ ลดความซึมเศร้าลง
ด้านนพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า แนวทางการรักษาผู้ป่วยในระยะสุดท้ายแบบประคับประคองนี้ ขณะนี้กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก ไทยได้เริ่มพัฒนาระบบริการในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ 7 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลระดับเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคที่รักษายาก โรคที่มีความซับซ้อนหรือมีอาการหนัก เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เป็นต้น ดำเนินการมา 10 กว่าปี โดยตั้งเป็นหออภิบาลคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะ แยกสัดส่วนการรักษาจากผู้ป่วยอื่น ให้เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ป่วยระยะสุดท้าย หากโรงพยาบาลใดมีสถานที่เพียงพอและมีผู้ป่วยจำนวนมาก ก็จะจัดสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี จะจัดสถานที่รักษาแบบกึ่งบ้านและแยกเป็นอาคารเพื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษาหรือจัดให้อยู่ห้องแยก และสร้างจิตอาสาข้างเตียงคอยดูแลและให้กำลังใจผู้ป่วยซึ่งมีประมาณ 20 คน เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติ พูดคุยและมีกิจกรรมร่วมกันได้มากขึ้น
ทั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง หากญาติมีความต้องการให้ผู้ป่วยไปพักผ่อนที่บ้านก็สามารถทำได้ โดยทีมสหวิชาชีพจะแนะนำการดูแลรักษา ทั้งเรื่องอาหารและยา ให้ความรู้อาการของผู้ป่วยทุกขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับเพื่อญาติเข้าใจและสามารถดูแลผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด โดยมีระบบให้ญาติโทรสอบถามแพทย์และพยาบาลผู้ดูแลได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน หรือจัดส่งหน่วยเยี่ยมบ้านออกไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อดูอาการพร้อมให้คำแนะนำกับญาติ โดยตั้งเป้าขยายแนวทางการรักษาแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้สมบูรณ์แบบในโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ที่มี 16 แห่งทั่วประเทศ เพื่อหารูปแบบที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (11 ตุลาคม ) ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอบรมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักสังคมสงเคราะห์ นักโภชนาการ กว่า 250 คนจากโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ 16 แห่งทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เป็นต้น ก่อนเสียชีวิต ซึ่งเป็นบริการใหม่ในระบบสุขภาพประเทศไทย ช่วยคลายทุกข์ญาติและผู้ป่วย ก่อนเสียชีวิต
นพ.รัชตะกล่าวว่า ขณะนี้ ทั่วโลกให้ความสนใจในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly) ที่กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19-24 พฤษภาคม 2557 ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและถือเป็นประเด็นที่ต้องส่งเสริมเพื่อให้มีการบริการอย่างทั่วถึง ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาวะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่ในภาวะที่พึ่งพิง รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้ายของชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม มีผลอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยเน้นการมีส่วนร่วมดูแลจากชุมชนและครอบครัว สำหรับบริการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตนี้ เป็นบริการใหม่ในระบบสุขภาพไทยและมีความจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่นมะเร็ง เบาหวาน โรคไต โรคเอดส์ เป็นต้น จำนวนมากรวมกว่า 4 ล้านราย และพบมากในผู้สูงอายุ โดยโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประเทศติดต่อกันมากว่า 10 ปี คือโรคมะเร็ง เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 60,000 กว่าราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พบทุกหมู่บ้าน ในปี 2555 มีรายงานเสียชีวิต 63,272 ราย เฉลี่ย 1 รายทุก 8 นาที โรคนี้ทำผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะอาการปวดจากอวัยวะภายในที่เซลล์มะเร็งลุกลามไป
นพ.รัชตะกล่าวว่า ได้มอบให้กรมการแพทย์ พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้เหมาะสมกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแต่ละกลุ่มโรคและสถานพยาบาลแต่ละระดับ ตามบริบทสังคมไทย ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่มีมาตรฐาน เพื่อคลายอาการทุกข์จากการป่วยทั้งการจัดการความเจ็บปวด อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ และการดูแลด้านจิตใจ จิตวิญญาณตามหลักศาสนาแก่ผู้ป่วยและญาติ ลดความซึมเศร้าลง
ด้านนพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า แนวทางการรักษาผู้ป่วยในระยะสุดท้ายแบบประคับประคองนี้ ขณะนี้กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก ไทยได้เริ่มพัฒนาระบบริการในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ 7 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลระดับเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ได้แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โรงพยาบาลเลิดสิน และโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคที่รักษายาก โรคที่มีความซับซ้อนหรือมีอาการหนัก เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เป็นต้น ดำเนินการมา 10 กว่าปี โดยตั้งเป็นหออภิบาลคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะ แยกสัดส่วนการรักษาจากผู้ป่วยอื่น ให้เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ป่วยระยะสุดท้าย หากโรงพยาบาลใดมีสถานที่เพียงพอและมีผู้ป่วยจำนวนมาก ก็จะจัดสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี จะจัดสถานที่รักษาแบบกึ่งบ้านและแยกเป็นอาคารเพื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษาหรือจัดให้อยู่ห้องแยก และสร้างจิตอาสาข้างเตียงคอยดูแลและให้กำลังใจผู้ป่วยซึ่งมีประมาณ 20 คน เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติ พูดคุยและมีกิจกรรมร่วมกันได้มากขึ้น
ทั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง หากญาติมีความต้องการให้ผู้ป่วยไปพักผ่อนที่บ้านก็สามารถทำได้ โดยทีมสหวิชาชีพจะแนะนำการดูแลรักษา ทั้งเรื่องอาหารและยา ให้ความรู้อาการของผู้ป่วยทุกขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับเพื่อญาติเข้าใจและสามารถดูแลผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด โดยมีระบบให้ญาติโทรสอบถามแพทย์และพยาบาลผู้ดูแลได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน หรือจัดส่งหน่วยเยี่ยมบ้านออกไปเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้านทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อดูอาการพร้อมให้คำแนะนำกับญาติ โดยตั้งเป้าขยายแนวทางการรักษาแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้สมบูรณ์แบบในโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ที่มี 16 แห่งทั่วประเทศ เพื่อหารูปแบบที่ดีและเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
กำลังโหลดเครื่อง oncothermia ความหวังใหม่รักษามะเร็งเต้านม-ตับระยะท้าย ใช้คลื่นวิทยุยิงเฉพาะจุดมะเร็งจนเกิดความร้อน เอื้อยาเคมีบำบัดเข้าถึงมะเร็งง่ายขึ้น ผลศึกษาก้แนมะเร็งเต้านมยุบทั้งหมด 22% ผู้ป่วยมะเร็งตับอายุยืนขึ้น