อดีต ผอ.รพ.น่าน โล่งใจปลัด สธ. แต่งตั้งโยกย้าย นพ.สสจ.- ผอ.รพศ./รพท. แล้ว หลังล่าช้าจากวันที่ 1 ต.ค. ห่วงกระทบการบริหารงานไม่ต่อเนื่องและเสียหาย ด้าน ผอ.รพ.เชียงรายฯ ชี้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรม ตามหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาล มีทั้งถูกใจไม่ถูกใจ สวนทางบางส่วนโจมตีผ่านโลกออนไลน์โยกย้ายไม่เหมาะสม
วันนี้ (9 ต.ค.) นพ.พิษณุ ขันติพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ รพ.น่าน ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการ กล่าวถึงกรณี นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ลงนามแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับผู้อำนวยการสูง หรือข้าราชการระดับซี 9 ในตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และ ผอ.โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 42 ตำแหน่ง เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า รู้สึกโล่งใจที่มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย เพราะการบริหารงานในภูมิภาคจะได้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติ นพ.สสจ. และ ผอ.รพศ/รพท. ต้องเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เพื่อไม่ให้เกิดการขาดช่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นปีงบประมาณจะต้องมีการประกาศแผนปฏิบัติการประจำปี ซึ่งผู้บริหารใหม่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากช้าไปอาจเกิดการเสียหายต่อองค์กรได้ ขอขอบคุณ รมว.สาธารณสุข และปลัด สธ. ที่แสดงให้เห็นถึงธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ให้อิทธิพลใดมาแทรกแซงได้
นพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ผอ.รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ ผ่านการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการสามัญประจำสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ.สป.) ตามหลักธรรมาภิบาลที่ชัดเจน สำหรับการแต่งตั้งมีคณะกรรมการพิจารณาในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับเขต ระดับภาค และระดับกระทรวง ส่วนการโยกย้ายก็มีคณะกรรมการย้ายสับเปลี่ยนระดับกระทรวง ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายถือได้ว่าเป็นผู้ที่เหมาะสม เพราะได้ผ่านหลักเกณฑ์ที่ดี และขอให้กำลังใจกับผู้รับตำแหน่งใหม่ทุกคน ซึ่งอาจมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ เป็นเรื่องปกติตามวิถีชีวิตข้าราชการ โดยขอให้ขับเคลื่อนการบริการประชาชนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะเขตสุขภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้ง นพ.สสจ. และ ผอ.รพ.
แหล่งข่าวแวดวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากมีการย้ายตำแหน่งระดับ นพ.สสจ. และ ผอ.รพศ/รพท. กลับมีกระแสท้วงติงในสื่อสังคมออนไลน์ถึงความไม่เหมาะสม เพราะบางคนทำงานมานาน 4 ปี แต่สุดท้ายคนมาทำงานช้ากว่ากลับได้เลื่อนขั้น ขณะนี้จึงมีความคิดว่าจะรวมตัวกันเพื่อหารือทางออกของเรื่องนี้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (9 ต.ค.) นพ.พิษณุ ขันติพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ รพ.น่าน ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการ กล่าวถึงกรณี นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ลงนามแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับผู้อำนวยการสูง หรือข้าราชการระดับซี 9 ในตำแหน่งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) และ ผอ.โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป จำนวน 42 ตำแหน่ง เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า รู้สึกโล่งใจที่มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย เพราะการบริหารงานในภูมิภาคจะได้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติ นพ.สสจ. และ ผอ.รพศ/รพท. ต้องเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เพื่อไม่ให้เกิดการขาดช่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นปีงบประมาณจะต้องมีการประกาศแผนปฏิบัติการประจำปี ซึ่งผู้บริหารใหม่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากช้าไปอาจเกิดการเสียหายต่อองค์กรได้ ขอขอบคุณ รมว.สาธารณสุข และปลัด สธ. ที่แสดงให้เห็นถึงธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ให้อิทธิพลใดมาแทรกแซงได้
นพ.สุทัศน์ ศรีวิไล ผอ.รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ ผ่านการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการสามัญประจำสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ.สป.) ตามหลักธรรมาภิบาลที่ชัดเจน สำหรับการแต่งตั้งมีคณะกรรมการพิจารณาในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับเขต ระดับภาค และระดับกระทรวง ส่วนการโยกย้ายก็มีคณะกรรมการย้ายสับเปลี่ยนระดับกระทรวง ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายถือได้ว่าเป็นผู้ที่เหมาะสม เพราะได้ผ่านหลักเกณฑ์ที่ดี และขอให้กำลังใจกับผู้รับตำแหน่งใหม่ทุกคน ซึ่งอาจมีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ เป็นเรื่องปกติตามวิถีชีวิตข้าราชการ โดยขอให้ขับเคลื่อนการบริการประชาชนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะเขตสุขภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้ง นพ.สสจ. และ ผอ.รพ.
แหล่งข่าวแวดวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากมีการย้ายตำแหน่งระดับ นพ.สสจ. และ ผอ.รพศ/รพท. กลับมีกระแสท้วงติงในสื่อสังคมออนไลน์ถึงความไม่เหมาะสม เพราะบางคนทำงานมานาน 4 ปี แต่สุดท้ายคนมาทำงานช้ากว่ากลับได้เลื่อนขั้น ขณะนี้จึงมีความคิดว่าจะรวมตัวกันเพื่อหารือทางออกของเรื่องนี้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
กำลังโหลดรุ่นพี่เทคโนฯสวนนันขอขมาอธิการบดี กรณีหยดน้ำตาเทียนใส่รุ่นน้อง ขณะที่ผลสอบวินัยสั่งลงโทษไม่ร้ายแรง ตักเตือน 23 คน ภาคทัณฑ์ 10 คน ตัดคะแนนความประพฤติอีก 10 คน