ห่วงกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายป่วยเอดส์พุ่ง ถึง 4.3 หมื่นคน ในปี 2559 สธ. จ่อเดินหน้าโครงการถุงยางอนามัย ควบให้ยาต้านไวรัสเร็วทุกสิทธิ ไม่คำนึงค่า CD4 เพื่อลดการแพร่เชื้อ เผยเตรียมแจกถุงยางฟรี 22 ล้านชิ้น พร้อมดันยาต้านไวรัสสูตรดื้อยา และชนิดรวมเม็ดเข้าบัญชียาหลักฯ ป้องกันการดื้อยาเอดส์จากการกินไม่ต่อเนื่อง
วันนี้ (1 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ลานวิคตอรี พอยท์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวเรื่อง “เอดส์ รู้เร็ว รักษาได้” เนื่องในวันรณรงค์เพื่อเข้าถึงการรักษา หรือเป็นวันที่ยาต้านไวรัสเอชไอวีบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2548 ว่า แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยปี 2556 มีประมาณ 8,000 คน แต่ยอดสะสมผู้ติดเชื้อตั้งแต่ปี 2527 ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงขณะนี้มีประมาณ 460,000 คน ที่น่าห่วงคือช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มชายรักชายมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 8-25 และมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน คาดว่าปี 2555 - 2559 จะพบผู้ติดเชื้อจากกลุ่มนี้สูงถึง 43,040 คน หรือร้อยละ 40 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลการวิจัยระดับโลก พบว่า หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสเร็วไม่เกิน 1 เดือน หลังวินิจฉัย และกินต่อเนื่องจะลดการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงร้อยละ 96 จนไม่สามารถแพร่โรคต่อไปได้ จะลดการเสียชีวิตผู้ป่วยได้ปีละไม่ต่ำกว่า 700 คน
“หากใช้มาตรการการป้องกันจากการให้ยาต้านไวรัสฯ ผสมผสานกับการป้องกันคือโครงการถุงยางอนามัย 100% มั่นใจว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ปีละไม่ถึง 1,000 ราย ได้ภายในปี 2573 หรืออีก 16 ปีข้างหน้า มีผลให้ไทยสามารถควบคุมโรคนี้ไม่ให้เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้” รมช.สาธารณสุข กล่าวและว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการด้านเอดส์ 3 ด้าน คือ 1. ให้ยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อทุกคนสุกสิทธิเร็วที่สุดและฟรี ไม่คำนึงถึงค่า CD4 2. ลดการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิผู้ติดเชื้อ โดยสถานบริการสาธารณสุขเป็นตัวอย่าง หากฝ่าฝืนมีมาตรการเด็ดขาดจัดการ และ 3. ให้ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อ รับคำปรึกษาและตรวจเลือดตามความสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐทุกปีละ 2 ครั้ง เร่งรัดให้ทราบผลตรวจเร็วขึ้นจาก 3 วันเหลือ 1 วัน
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า การลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในปีงบประมาณ 2558 คร. ได้จัดเตรียมถุงยางอนามัยแจกฟรี 22 ล้านชิ้น เน้นกลุ่มเสี่ยงหลัก ได้แก่ กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มพนักงานบริการทางเพศ กลุ่มผู้ต้องขัง และกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด ส่วนการรักษาจะให้ยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อทุกรายไม่คำนึงถึงค่า CD4 นอกจากนี้ ยังได้เสนอยาต้านไวรัสตัวใหม่ในสูตรดื้อยา และยาต้านไวรัสชนิดรวมเม็ดเข้าอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อผู้ป่วยกินได้สะดวกขึ้น ป้องกันปัญหาเชื้อดื้อจากการกินยาไม่ต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ
นพ.โสภณ กล่าวว่า นอกจากนี้ คร. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้วันที่ 1 ก.ค. และตลอด ก.ค. ของทุกปีเป็นเดือนแห่งการดูแลสุขภาพและสร้างความตระหนักในการสมัครใจตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี และร่วมกับแพทยสภา ภาคีเครือข่ายปรับแนวทางปฏิบัติสำหรับแพทย์ ในการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีได้ โดยไม่ต้องผ่านการลงนามยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาต้านไวรัส ซึ่งจากการการให้ยาต้านไวรัสตั้งแต่ ปี 2548 พบการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ลดลง จากสูงสุดในปี 2542 จำนวน 9,154 คน เหลือ 673 คน ในปี 2553 หรือลดลงถึง 13 เท่าตัว และลดการป่วยเป็นเอดส์เต็มขั้นในผู้ติดเชื้อลงได้ 6 เท่าตัว จาก 30,076 คนในปี 2542 เหลือ 5,058 คน ในปี 2553
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่