สธ. ดัน “ยุทธศาสตร์ถุงยางอนามัยแห่งชาติ” ประเทศแรกของโลก เริ่มปี 58 เน้นเข้าถึงถุงยาง - สารหล่อลื่น หนุนผลิตถุงยางอนามัย 2 เกรด เพิ่มสารหล่อลื่นช่วยเซ็กซ์สุขสม หลังพบติดโรคจากเซ็กซ์พุ่ง - ป่องไม่พร้อม เผยยังติดขัดทัศนคติพ่อแม่ไม่ยอมรับ แม้เชื่อถุงยางอนามัยช่วยป้องกันปัญหาได้ 70%
วันนี้ (26 ก.ย.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) แถลงข่าวเรื่อง “การจัดทำยุทธศาสตร์ถุงยางอนามัยแห่งชาติ” ว่า ในช่วงปี 2530 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่กว่า 1.5 แสนคนต่อปี จึงมีการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งได้ผลดีสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ แต่ในช่วง 5 ปี หลังนี้พบประชาชนเป็นโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะวัยรุ่นที่ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว เช่น หนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส และ เอชไอวี รวมถึงท้องไม่พร้อม ปัญหาทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันเร็วขึ้น แต่ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 30 - 40% เท่านั้น ประเทศไทยจึงได้จัดทำยุทธศาสตร์ถุงยางอนามัยแห่งชาติขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย และใช้ถุงยางเป็นประจำ ถือเป็นยุทธศาสตร์ต้นแบบในระดับเอเชีย และระดับโลก เพราะยังไม่เคยมีประเทศใดมียุทธศาสตร์นี้อย่างชัดเจน ซึ่งอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์นี้ เริ่มใช้ปี 2558 - 2562 โดยมี 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1. การส่งเสริมการยอมรับ และลดอคติเกี่ยวกับถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น 2. การส่งเสริมการเข้าถึงและการใช้ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น 3. การพัฒนาระบบริหารจัดการและการควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย 4. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย และ 5. การติดตามและประเมินผลการส่งเสริมการดำเนินการใช้ถุงยางอนามัย แต่การรณรงค์ได้เริ่มดำเนินการก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้มีการส่งเสริมความรู้ สร้างเสริมทักษะชีวิตให้กับเด็กนักเรียน จัดตั้งจุดบริการถุงยางอนามัยในสถานที่ต่างๆ จัดจุดบริการให้คำปรึกษา รักษาโรคทั้งแบบตั้งรับในสถานพยาบาล และเชิงรุกลงไปยังพื้นที่หมู่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล
“สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคอยู่คือทัศนคติของคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครอง มองว่า ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และป้องกันการท้องไม่พร้อมได้กว่า 70% แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งจุดบริการถุงยางอนามัยในโรงเรียนเพราะจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น ถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเวลานี้วัยรุ่นเข้าถึงมีเพศสัมพันธ์เร็วอยู่แล้ว จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยมากกว่า” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ผอ.ศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ประชาชนยังมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการใช้ถุงยางอนามัย โดยเชื่อว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกสุขสมระหว่างมีเพศสัมพันธ์ลง แต่จากการสำรวจความคิดเห็นของหญิงบริการทางเพศ พบว่านอกจากถุงยางอนามัยจะช่วยป้องกันโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ ป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังช่วยให้มีความสุขในการร่วมเพศมากขึ้น แต่ต้องใช้สารหล่อลื่นเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นแนวคิดหนึ่งในการผลักดันให้มีถุงยางอนามัย 2 ระดับ คือ 1. ระดับที่มีสารหล่อลื่นตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอยู่ที่ 50 มิลลิกรัมต่อ 1 ชิ้น และ 2. ประเภทที่เพิ่มปริมาณสารหล่อลื่นให้มากขึ้นกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจจะมีราคาสูงขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยจะช่วยให้ประชาชนใช้ถุงยางอนามัยมากขึ้นโดยไม่ไปลดความสุขสมระหว่างมีเพศสัมพันธ์
นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผอ.สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในทุกกลุ่มวัย แต่พบมากที่สุดในกลุ่มวัยรุ่น จากการเฝ้าระวังปัญหาการทำแท้งและมา รพ. ใน 13 จังหวัด พบว่ากลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปี ทำแท้งสูงถึง 60% ซึ่งอนุมานได้ว่าการทำแท้งเกิดจากการตั้งครรภ์ไม่พร้อม จึงสนับสนุนให้ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยให้เพิ่มขึ้น โดยฝ่ายชายต้องมีความรับผิดชอบ ฝ่ายหญิงก็ต้องรู้จักการปฏิเสธ หรือป้องกัน เพราะนอกจากจะป้องกันโรคติดต่อ ป้องกันการตั้งครรภ์แล้วยังสามารถป้องกันโรคเรื้อรังที่เกิดจาการมีเพศสัมพันธ์ได้เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น
น.ส.วาสนา อิ่มเอม ผู้ช่วยผู้แทนกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) กล่าวว่า อัตราการเกิดของประเทศไทยสวนทางกับทั่วโลก เพราะมีอัตราการเกิดลดลงจาก 1.2 ล้านคนเหลือเพียง 8 แสนคนต่อปี และคาดการณ์ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า อัตราการเกิดจะลดลงเหลือเพียง 6 แสนคนต่อปี จึงเป็นห่วงเรื่องคุณภาพของเด็กที่จะเกิดมาเพราะปัจจุบันพบว่ามีเด็กที่เกิดจากแม่วัยรุ่นสูงถึง 1.3 แสนคน ดังนั้น ยุทธศาสตร์ถุงยางอนามัยแห่งชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่