xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นโรงงานปิดกิจการหลังศาลพิพากษาให้ซับคอนแทรคได้สวัสดิการ-ค่าจ้างเท่าลูกจ้างประจำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หวั่นนายจ้างบางรายปิดกิจการ หลังมีคำสั่งศาลฎีกาพิพากษาให้ซับคอนแทรค ต้องได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกับลูกจ้างประจำ ขณะที่นักวิชาการแรงงาน เสนอ ก.แรงงาน ออกมาตรการหรือกฎหมายให้สอดคล้องคำพิพากษา

วันนี้ (21 ส.ค.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานที่ปรึกษาสหพันธ์ยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “จ้างเหมาตัดตอน ทอนความมั่นคง” จัดโดยคณะอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ว่า ปัจจุบันสถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้แรงงานซับคอนแทรคมากกว่าร้อยละ 50 หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลูกจ้างเหมาช่วง (ซับคอนแทรค) ของบางบริษัทใน กทม. ต้องได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกับลูกจ้างประจำ ซับคอนแทรค ตามมาตรา 11/1 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทั้งนี้ สถานประกอบการ ในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ได้รับการปรับให้เป็นพนักงานประจำ และบริษัทบางแห่งแรงงานซับคอนแทรคกำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองกับนายจ้าง เนื่องจากไม่ต้องการฟ้องร้องนายจ้าง เพราะเกรงจะกระทบกับระบบแรงงานสัมพันธ์ แต่ยังมีความมีความกังวลเรื่องที่นายจ้างบางแห่ง พยายามหลีกเลี่ยงโดยกำหนดสัญญาให้สิทธิประโยชน์แตกต่างจากลูกจ้างประจำ เช่น การทำสัญญาจ้างชั่วคราว 4 ปี โดยให้ค่าจ้างและสวัสดิการเท่าเทียมกับลูกประจำแล้วให้สอบเพื่อบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือนายจ้างบางแห่งมีแนวคิดในการปิดกิจการ จึงอยากฝากไปยังนายจ้างขอให้เห็นใจลูกจ้างโดยปรับสถานะลูกจ้างซับคอนแทรคให้เป็นลูกจ้างประจำ เนื่องจากลูกจ้างซับคอนแทรคกับลูกจ้างประจำทำงานเท่ากันและทักษะฝีมือก็ไม่ต่างกัน แต่ค่าจ้างและสวัสดิการกลับไม่เท่าเทียมกัน ทำให้แรงงานซับคอนแทรคไม่มีความมั่นคงด้านรายได้และชีวิต รวมถึงเยียวยาแรงงานซับคอนแทรคที่ออกไปแล้วโดยจ่ายเงินชดเชยค่าจ้างและสวัสดิการย้อนหลัง

ด้านนายแล ดิลกวิทยรัตน์ ที่ปรึกษาศูนย์พัฒนาแรงงานและการจัดการ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะต้องต่อยอดคำพิพากษาของศาลด้วยการออกมาตรการหรือกฎหมายให้เป็นไปตามคำพิพากษา เช่น การกำหนดสัดส่วนของลูกจ้างซับคอนแทรคในแต่ละสถานประกอบการเพราะปัจจุบันบางแห่งมีการมีการใช้ซับคอนแทรคถึงร้อยละ 60 การปรับให้ลูกจ้างซับคอนแทรคเป็นพนักงานประจำ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองของแต่ละสหภาพว่าจะเจรจาต่อรองให้มีหลักเกณฑ์อย่างไร เช่น ปรับปีละกี่คน การออกเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดว่าประเภทงานใดสามารถใช้ซับคอนแทรคได้ รวมทั้งสร้างหลักประกันไม่ให้มีการนำซับคอนแทรคมาใช้แทนลูกจ้างประจำโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้นายจ้างใช้ความมั่นคงของลูกจ้างมาเป็นเครื่องมือในการต่อรอง

น.ส.บงกช แจ่มทวี ประธานชมรมบริหารงานบุคคล จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้นายจ้างส่วนใหญ่ยังปรับตัวไม่ทันกับคำพิพากษาของศาลโดยนายจ้างชาวญี่ปุ่น ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ต่างรอดูท่าทีของบริษัทญี่ปุ่นด้วยกันว่าจะดำเนินอย่างไร ทั้งนี้ ในฐานะฝ่ายบุคคลก็พยายามช่วยเจรจากับนายจ้างให้แรงงานซับคอนแทรคได้รับค่าจ้างและสวัสดิการเท่าเทียมกับแรงงานประจำ ส่วนการเลิกจ้างแรงงานซับคอนแทรคนั้น คงเป็นทางออกสุดท้ายเพราะสถานประกอบการยังมีความต้องการแรงงานในการผลิตอย่างมาก

นายวิสูตร พันธวุฒิยานนท์ กรรมการผู้จัดการเอชอาร์.ไดเจสท์ จำกัด ผู้แทนบริษัทรับเหมาช่วง (เอาต์ซอร์ส) กล่าวว่า ตนเป็นจำเลยร่วมกับนายจ้างถูกแรงงานฟ้องร้อง แต่ถูกยกฟ้อง เพราะไม่ใช่นายจ้างโดยตรง ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมา ทั้งนี้ คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดในเรื่องคำพิพากษาของศาลนั้นสถานประกอบการต่างๆ ควรปรับค่าจ้างและสวัสดิการแรงงานซับคอนแทรคให้เท่าเทียมกับลูกจ้างประจำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาฟ้องร้อง ซึ่งปัจจุบันคาดว่ามีแรงงานซับคอนแทรคทั้งหมดประมาณ 2 ล้านคน และเชื่อว่าปัญหาคงนี้คงไม่กระทบถึงขั้นสถานประกอบการญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิตไปจากไทย เพราะส่วนใหญ่มองว่าไทยมีความเหมาะสมในการลงทุน

ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่




กำลังโหลดความคิดเห็น