สธ.จ่อชง คสช.ของบกว่า 100 ล้านบาท หนุนมาตรการคุม “อีโบลา” เผยแล็บกรมวิทย์ตรวจยืนยันเชื้อได้ใน 8 ชั่วโมง ลดเวลาการกักตัวผู้ต้องสงสัยป่วย เทงบ 9 แสน นำเข้าชุดทดสอบจาก 3 ประเทศ รวม 300 ชุด คาดถึงไทยสัปดาห์หน้า พร้อมซื้อเครื่องเร่งสารพันธุกรรมระบบปิด 8 ล้านบาท ช่วยการดำเนินงานปลอดภัยขึ้น
วันนี้ (16 ส.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้ออีโบลา โดยมี พล.ร.ต.นวพล ดำรงพงศ์ เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารเรือ ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายส้งคมจิตวิทยา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าร่วมประชุมว่า เบื้องต้น สธ.ได้สรุปสถานการณ์และมาตรการเตรียมรับมือโรคอีโบลาต่อฝ่ายสังคมจิตวิทยา คสช. โดยจำลองประมาณ 5-6 สถานการณ์ว่าหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจะมีมาตรการรับมืออย่างไร เช่น พบผู้ต้องสงสัยป่วยโรคอีโบลาบนเครื่องบิน พบผู้ต้องสงสัยป่วยอีโบลาในชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ปรึกษาฝ่ายสังคมจิตวิทยามีข้อแนะนำให้ สธ.มองโรคอีโบลาในมิติอื่นๆนอกจากมิติทางการแพทย์ด้วย เพื่อให้มีมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสม ประชาชนไม่ตื่นตระหนก โดยเห็นตรงกับสิ่งที่ สธ.กำลังดำเนินการอยู่ คือ การคัดกรองโรคที่ด่าน การเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลและบุคลากร การสื่อสารกับประชาชน รวมถึงการเตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) ในการตรวจเชื้ออีโบลา
“ ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันแล้วว่าสามารถตรวจยืนยันเชื้ออีโบลาในผู้ป่วยต้องสงสัยได้ภายใน 8 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้การปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้ที่เดินทางร่วมมากับผู้ต้องสงสัยสามารถปล่อยจากการกักตัวได้รวดเร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอถึง 21 วัน ตามระยะการฟักตัวของโรค ซึ่งการตรวจยืนยันเชื้อนั้นได้นำเข้าชุดทดสอบมาจาก 3 ประเทศ คือ เยอรมนี จีน และญี่ปุ่น ” ปลัด สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการโรคอุบัติใหม่แห่งชาติ ในวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งจะมีหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา คสช.เป็นประธานการประชุมด้วยนั้น สธ.จะเสนอของบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่เฉพาะ สธ.ในการดำเนินการเฝ้าระวังโรคอีโบลา
นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การตรวจยืนยันเชื้ออีโบลาจะดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) ซึ่งกรมฯมี 3 แห่ง ส่วนชุดทดสอบในการตรวจนั้นจะนำเข้ามาจาก 3 ประเทศ คือ เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น ประเทศละ 100 ชุด รวมเป็น 300 ชุด ซึ่งมีวิธีในการตรวจแตกต่างกัน โดยการตรวจผู้ต้องสงสัย 1 คน จะใช้ชุดทดสอบทั้ง 3 ชุดจาก 3 ประเทศ จะทำให้ได้ผลตรวจที่แม่นยำประมาณ 96% โดยสามารถรู้ผลได้ใน 8 ชั่วโมง หากพบว่าไม่ใช่ก็จะช่วยให้การปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยได้ไวขึ้น อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการส่งเชื้อไปตรวจยังศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ เพื่อร่วมยืนยันด้วยเช่นกัน
นพ.อภิชัยกล่าวว่า การนำเข้าชุดทดสอบนั้นใช้งบประมาณ 9 แสนบาท ซึ่งจะส่งมาถึงไทยในสัปดาห์หน้า โดยชุดทดสอบของเยอรมันและจีนจะเหมือนกันคือ เป็นการตรวจโดยเร่งสารพันธุกรรมให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อหาโปรตีนของเชื้อหรือแอนติเจน ซึ่งประเทศไทยมีแต่เครื่องเร่งสารพันธุกรรมแบบระบบเปิด จึงจำเป็นต้องสั่งซื้อ เครื่องเพิ่มสารพันธุกรรมและพีซีอาร์ระบบปิดอัตโนมัติ ราคา 8 ล้านบาทจากญี่ปุ่นจำนวน 1 เครื่อง จะช่วยให้การตรวจเชื้อมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเครื่องจะส่งถึงไทยในอีก 2 สัปดาห์ ส่วนชุดทดสอบของญี่ปุ่นจะเป็นการตรวจหาภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี
“ที่ต้องสั่งซื้อเครื่องดังกล่าวเข้ามาเพราะเป็นการตรวจยืนยันเชื้อที่อันตราย จึงจำเป็นต้องใช้แบบระบบปิด เพื่อช่วยป้องกันบุคลากรติดเชื้อจากการเพิ่มสารพันธุกรรม ส่วนการตรวจเชื้ออื่นที่ยังคงใช้แบบระบบเปิด เนื่องจากเป็นเชื้อที่ไม่อันตรายและไทยมียารักษา” อธิบดีกรมวิทย์กล่าว
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
