กกจ.หารืออิสราเอลส่งแรงงานไปทำงานด้านเกษตร เผยปีหน้าได้โควตาเพิ่มอีก 5 พันคน เสนออิสราเอลกำหนดอายุไว้ไม่เกิน 45 ปี จากที่กำหนดไว้ 39 ปี แจ้งตำแหน่ง-ลักษณะงานมาให้ชัดเจน ช่วยอบรมทักษะทำงาน แก้คนไทยเปลี่ยนงานบ่อย พร้อมขอแก้สัญญาจ้างเพิ่มประเด็นค่าประกันชีวิต ค่าส่งศพกลับไทย ด้านอิสราเอลซัดแรงงานไทยดื่มสุรา ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด กระทบการทำงาน ย้ำดูแลตรวจสุขภาพ
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เดินทางไปประเทศอิสราเอลเพื่อประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเศรษฐกิจของอิสราเอลเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานด้านเกษตรกรรม โดยความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐและให้องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) เป็นผู้คัดเลือก ซึ่งปัจจุบันอิสราเอลให้โควตาแรงงานไทยจำนวน 8,000 คน แต่ปีหน้าจะเพิ่มโควตาให้ไทยอีก 5,000 คน รวม 13,000 คน ซึ่งได้มีการหารือกันในหลายประเด็นโดยอิสราเอลได้กำหนดอายุแรงงานต่างประเทศไว้ไม่เกิน 39 ปี เนื่องจากเกรงว่าหากอายุ 40 ปีขึ้นไปจะมีปัญหาสุขภาพ แต่ไทยก็ได้ขอให้อิสราเอลกำหนดอายุไว้ที่ 45 ปีเพราะขณะนี้มีแรงงานที่เคยมาลงทะเบียนไว้และมีรายชื่อค้างอยู่ 3,085 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่อายุเกิน 39 ปีจำนวนมาก
“ผมได้แจ้งต่ออิสราเอลไปว่าไทยยินดีให้อิสราเอลกำหนดโรคและวิธีการตรวจโรค ส่วนค่าประกันสุขภาพนั้นอิสราเอลยืนยันไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม อีกทั้งขอให้เปิดโอกาสแก่กลุ่มแรงงานหญิงได้ไปทำงานมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาแรงงานหญิงที่มาลงทะเบียนไว้ 1,000 คน ได้เดินทางไปเพียง 200 คนโดยได้ยืนยันไปว่าแรงงานหญิงสามารถทำงานได้เช่นเดียวกับแรงงานชาย” อธิบดี กกจ.กล่าว
นายประวิทย์ กล่าวด้วยว่า อิสราเอลยังเป็นห่วงกรณีแรงงานไทยเปลี่ยนนายจ้างบ่อย ซึ่งตนได้ชี้แจงว่าปัญหานี้เกิดจากตำแหน่งงานไม่ชัดเจน เมื่อแรงงานไทยเดินทางไปทำงานแล้วไม่ถูกใจ จึงเกิดการเปลี่ยนนายจ้างบ่อย ซึ่งตนก็ได้ขอให้อิสราเอลแจ้งตำแหน่งงานและลักษณะงานมาให้ชัดเจนเพื่อจะได้ให้แรงงานไทยเลือกงานที่จะไปทำจะได้ไม่เกิดปัญหา รวมทั้งขอให้อิสราเอลช่วยมาฝึกอบรมทักษะในการทำงานให้แก่แรงงานไทยด้วย ซึ่งอิสราเอลขอไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน เนื่องจากการมาจัดอบรมในไทยมีค่าใช้จ่ายสูง
นอกจากนี้ ตนยังแจ้งเรื่องที่ไปเยี่ยมแรงงานไทยในอิสราเอลและได้รับร้องเรียนปัญหานายจ้างจ่ายค่าจ้างไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้าง ที่พักไม่ถูกสุขลักษณะ จึงขอให้อิสราเอลจัดเจ้าหน้าที่ตรวจแรงงานไปตรวจที่พักแรงงานไทย รวมทั้งขอให้เพิ่มค่าจ้างแก่แรงงานไทยที่ไปทำงานทางตอนใต้ของอิสราเอลเพราะเป็นพื้นที่ทุรกันดาร และลำบากในการทำงานมากกว่าทางตอนเหนือ และไทยได้ขอแก้ไขสัญญาจ้างโดยเพิ่มเติมประเด็น เช่น ค่าประกันชีวิต ค่านำศพกลับไทย
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า อิสราเอลได้ขอให้ไทยช่วยแก้ไขปัญหาแรงงานไทยชอบดื่มสุราและเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และขอให้ไทยเข้มงวดในการตรวจสุขภาพเพราะแรงงานไทยบางรายมีปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ซึ่ง กกจ.ได้รับมาดำเนินการโดยในการจัดอบรมจะกำชับแรงงานไทยไม่ให้ดื่มสุราและยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งการตรวจสุขภาพก็จะเข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ อิสราเอลจะนำประเด็นที่ไทยเสนอไปหารือกับฝ่ายวิชาการและจะนำข้อสรุปมาประชุมหารือกันที่ไทยในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เดินทางไปประเทศอิสราเอลเพื่อประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเศรษฐกิจของอิสราเอลเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานด้านเกษตรกรรม โดยความร่วมมือระหว่างรัฐต่อรัฐและให้องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) เป็นผู้คัดเลือก ซึ่งปัจจุบันอิสราเอลให้โควตาแรงงานไทยจำนวน 8,000 คน แต่ปีหน้าจะเพิ่มโควตาให้ไทยอีก 5,000 คน รวม 13,000 คน ซึ่งได้มีการหารือกันในหลายประเด็นโดยอิสราเอลได้กำหนดอายุแรงงานต่างประเทศไว้ไม่เกิน 39 ปี เนื่องจากเกรงว่าหากอายุ 40 ปีขึ้นไปจะมีปัญหาสุขภาพ แต่ไทยก็ได้ขอให้อิสราเอลกำหนดอายุไว้ที่ 45 ปีเพราะขณะนี้มีแรงงานที่เคยมาลงทะเบียนไว้และมีรายชื่อค้างอยู่ 3,085 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่อายุเกิน 39 ปีจำนวนมาก
“ผมได้แจ้งต่ออิสราเอลไปว่าไทยยินดีให้อิสราเอลกำหนดโรคและวิธีการตรวจโรค ส่วนค่าประกันสุขภาพนั้นอิสราเอลยืนยันไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม อีกทั้งขอให้เปิดโอกาสแก่กลุ่มแรงงานหญิงได้ไปทำงานมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาแรงงานหญิงที่มาลงทะเบียนไว้ 1,000 คน ได้เดินทางไปเพียง 200 คนโดยได้ยืนยันไปว่าแรงงานหญิงสามารถทำงานได้เช่นเดียวกับแรงงานชาย” อธิบดี กกจ.กล่าว
นายประวิทย์ กล่าวด้วยว่า อิสราเอลยังเป็นห่วงกรณีแรงงานไทยเปลี่ยนนายจ้างบ่อย ซึ่งตนได้ชี้แจงว่าปัญหานี้เกิดจากตำแหน่งงานไม่ชัดเจน เมื่อแรงงานไทยเดินทางไปทำงานแล้วไม่ถูกใจ จึงเกิดการเปลี่ยนนายจ้างบ่อย ซึ่งตนก็ได้ขอให้อิสราเอลแจ้งตำแหน่งงานและลักษณะงานมาให้ชัดเจนเพื่อจะได้ให้แรงงานไทยเลือกงานที่จะไปทำจะได้ไม่เกิดปัญหา รวมทั้งขอให้อิสราเอลช่วยมาฝึกอบรมทักษะในการทำงานให้แก่แรงงานไทยด้วย ซึ่งอิสราเอลขอไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน เนื่องจากการมาจัดอบรมในไทยมีค่าใช้จ่ายสูง
นอกจากนี้ ตนยังแจ้งเรื่องที่ไปเยี่ยมแรงงานไทยในอิสราเอลและได้รับร้องเรียนปัญหานายจ้างจ่ายค่าจ้างไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้าง ที่พักไม่ถูกสุขลักษณะ จึงขอให้อิสราเอลจัดเจ้าหน้าที่ตรวจแรงงานไปตรวจที่พักแรงงานไทย รวมทั้งขอให้เพิ่มค่าจ้างแก่แรงงานไทยที่ไปทำงานทางตอนใต้ของอิสราเอลเพราะเป็นพื้นที่ทุรกันดาร และลำบากในการทำงานมากกว่าทางตอนเหนือ และไทยได้ขอแก้ไขสัญญาจ้างโดยเพิ่มเติมประเด็น เช่น ค่าประกันชีวิต ค่านำศพกลับไทย
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า อิสราเอลได้ขอให้ไทยช่วยแก้ไขปัญหาแรงงานไทยชอบดื่มสุราและเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และขอให้ไทยเข้มงวดในการตรวจสุขภาพเพราะแรงงานไทยบางรายมีปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ซึ่ง กกจ.ได้รับมาดำเนินการโดยในการจัดอบรมจะกำชับแรงงานไทยไม่ให้ดื่มสุราและยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งการตรวจสุขภาพก็จะเข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ อิสราเอลจะนำประเด็นที่ไทยเสนอไปหารือกับฝ่ายวิชาการและจะนำข้อสรุปมาประชุมหารือกันที่ไทยในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า