เผยฤดูหนาวปีนี้ ตั้งแต่ตุลาคม 2556 - กุมภาพันธ์ 2557 มีผู้เสียชีวิตจากภัยหนาว 64 ราย มากกว่าปีที่แล้วเกือบ 4 เท่า เกือบครึ่งเสียชีวิตเพราะสวมเสื้อผ้าไม่เพียงพอ รองลงมาคือดื่มสุรา และจากโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ แนะให้ประชาชนพื้นที่ที่ยังประสบภัยหนาว ให้ลดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ พร้อมกำชับหน่วยงานจะส่งสถิติให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อวางแผนป้องกันและลดการเสียชีวิตในปีหน้า
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมี 45 จังหวัดที่ประกาศภัยหนาว โดย ประชาชนได้รับผลกระทบประมาณ 25 ล้านคน และช่วงวันที่ 10-12 ก.พ.นี้ อากาศจะหนาวเย็นอีกเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยต่อสุขภาพร่างกายของประชาชนโดยตรง ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในพื้นที่ที่อากาศยังหนาวเย็น แนะนำประชาชน กลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยหนาว ทั้งเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ลดพฤติกรรมเสี่ยงการเสียชีวิตจากอากาศหนาวเย็น สวมเครื่องนุ่งห่มให้เพียงพอ ไม่นอนในที่โล่งแจ้ง และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ผลการเฝ้าระวังผู้เสียชีวิตจากภัยหนาว ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าในช่วงฤดูหนาวนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2556 - 2 กุมภาพันธ์ 2557 มีรายงานผู้เสียชีวิตที่สงสัยว่าอาจเกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาวทั้งหมด 82 ราย ในพื้นที่ 31 จังหวัด ร้อยละ 93 เป็นชาย อายุต่ำสุด 12 วัน สูงสุดอายุ 93 ปี ผลการสอบสวนพบว่ามี 64 รายที่ยืนยันว่าเสียชีวิตจากปัจจัยเสี่ยงเสริมร่วมกับภาวะอากาศหนาวด้วย โดยกว่าครึ่งเสียชีวิตในบ้าน ในกุฏิวัด จังหวัดที่มีรายผู้เสียชีวิตจากอากาศหนาวมากสุดคือ จ.เชียงใหม่ 9 ราย เลย สระแก้ว จังหวัดละ 6 ราย นครราชสีมา 5 ราย แพร่ บึงกาฬ ศรีสะเกษ จังหวัดละ 4 ราย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะใช้สถิติหนาวตายในปีนี้ ประชุมหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ เพื่อวางแผนป้องกันในปีหน้า และจัดส่งข้อมูลให้ให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือกันลดปัญหาการเสียชีวิตจากภัยหนาวต่อไป
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงเสริมที่เป็นต้นเหตุ การเสียชีวิตในช่วงภัยหนาวในปีนี้ มาจาก 4 สาเหตุใหญ่ อันดับ 1 ได้แก่ สวมเครื่องนุ่งห่มไม่เพียงพอ พบร้อยละ 48 อันดับ 2 คือ ดื่มสุราที่เชื่อว่าจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น ร้อยละ 19 อันดับ 3 ได้แก่ดื่มสุราร่วมกับมีโรคประจำตัวด้วย ร้อยละ17 อันดับ 4 ได้แก่โรคประจำตัวร้อยละ 16 โรคประจำตัวที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง พบร้อยละ 21 รองงลงมาคือ โรคหัวใจ และคนพิการช่วยเหลือตนเองไม่ได้พบอย่างละร้อยละ 17 เท่ากัน โรคเบาหวานร้อยละ 14 โรคลมชักหรือลมบ้าหมู ร้อยละ 10 หอบหืด ร้อยละ 9 โรคตับอักเสบร้อยละ 7 และโรคพิษสุราเรื้อรัง ร้อยละ 5 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการเสียชีวิตในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่าปีนี้สูงกว่าเกือบ 4 เท่าตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าสภาพอากาศในปีนี้หนาวเย็นครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดทุกภาคของประเทศ คือประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ ยกเว้นภาคใต้ และในหลายพื้นที่มีอุณหภูมิติดลบต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียล เช่น เชียงราย เชียงใหม่ เลย เป็นต้น
นพ.โสภณ กล่าวต่ออีกว่า ในพื้นที่ที่อากาศยังมีความหนาวเย็น โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนและเช้า ขอให้ประชาชนดูแลความอบอุ่นให้ร่างกาย โดยเฉพาะเวลานอน อวัยวะที่ต้องดูแลเป็นพิเศษคือที่ศีรษะ ลำคอ และหน้าอก เพื่อให้ระบบการไหลเวียนของร่างกายเป็นไปตามปกติ ไม่เพิ่มการทำงานของหัวใจให้หนักขึ้น ผู้ที่มีโรคประจำตัวต้องกินยาให้ต่อเนื่องตามการรักษาของแพทย์ แม้ว่าอาการจะดีขึ้นและเป็นปกติก็ตาม ห้ามหยุดยาหรือปรับลดจำนวนยาเองอย่างเด็ดขาด ควรออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น มืดหน้า ปวดมึนศีรษะ รีบไปพบแพทย์ทันที