บอร์ดแท็บเล็ต สั่งฟ้องบริษัทแม่ เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ เรียกค่าปรับ ค่าเสียหาย และขึ้นบัญชีผู้ละทิ้งงาน พร้อมสั่ง สพฐ.ประมูลใหม่โซน 1 และ 2 ใช้สเปก และทีโออาร์เดิม ชี้มติบอร์ดไฟเขียวให้ บ.สุพรีมฯ เดินหน้าแท็บเล็ตโซน 3 ได้ต่อ อ้างไม่ปรากฏข้อมูลชัดว่ามีการสมยอมราคาจริง และแม้จะมีการทุบราคาต่ำสุดก็สะท้อนว่าไม่สามารถดำเนินการส่งแท็บเล็ตได้
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่สำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา (สสอ.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ต่อ 1 นักเรียน ว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรณีที่คณะกรรมการตรวจรับพัสดุของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รายงานว่า บ.เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลจัดซื้อจัดจ้างแท็บเล็ตระดับประถมศึกษาปีที่ 1 โซนที่ 1 (ภาคกลาง และภาคใต้) จำนวน 431,105 เครื่อง มูลค่า 842 ล้านบาท และ ป.1 โซน 2 (ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จำนวน 373,637 เครื่อง เป็นเงิน 786 ล้านบาท รวมวงเงิน 1,628 ล้านบาท ได้ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาซื้อขายแท็บเล็ตเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ สพฐ.ทำหนังสือยกเลิกสัญญาโดยให้มีผลเป็นทางการวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พร้อมเรียกร้องค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของมูลค่าแท็บเล็ตที่ยังไม่รับมอบ โดยโซนที่ 1 คิดเป็นค่าปรับวันละ 980,454.52 บาท และโซนที่ 2 คิดเป็นค่าปรับวันละ 1,320,311.78 บาท ซึ่งค่าปรับนี้จะเรียกร้องตั้งแต่วันครบกำหนดการส่งสินค้าคือ ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2556 จนถึงวันที่ สพฐ.บอกเลิกสัญญาคือ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557
“ขั้นตอนหลังจากนี้ สพฐ.จะไปติดต่อกับธนาคารผู้เก็บเงินค้ำประกันของ บ.เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ เพื่อขอริบเงินประกัน จำนวน 120 ล้านบาท แยกเป็นของ สพฐ. จำนวน 57,519,157 ล้านบาท จากนั้นจะคำนวณค่าปรับออกมาว่าเป็นเงินเท่าไร ถ้ายอดค่าปรับน้อยกว่าวงเงินค้ำประกันก็ต้องคืนเงินที่เหลือให้ บ.เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องค่าเสียหายไม่ใช่เฉพาะค่าปรับแต่จะเรียกร้องให้บริษัทชดใช้ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากการประกวดราคาครั้งใหม่ รวมทั้งจะมีการฟ้องร้องบริษัทซึ่งต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการตามไปฟ้องร้องค่าเสียหายกับบริษัทแม่ของ บ.เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ ที่ประเทศจีน แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีแพ่ง จึงต้องประสานให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้องร้องแทนราชการ นอกจากนี้ จะนำรายชื่อบริษัทดังกล่าวขึ้นบัญชีผู้ทิ้งงานซึ่งจะไม่มีสิทธิประมูลต่อไป”นายจาตุรนต์ กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณากรณีโซน 3 ระดับชั้น ม.1 (ภาคกลาง และภาคใต้) ที่ บ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งถูกยกเลิกสัญญาตามมติที่ประชุมฯ และล่าสุด ทางบริษัทได้อุทธรณ์ต่อ สพฐ.นั้นเห็นว่าเหตุผลในการอุทธรณ์ฟังขึ้นไม่พบหลักฐานความผิดที่ชัดเจนว่ามีการสมยอมราคา และที่มีการกล่าวหาว่าราคาที่ประมูลได้ในโซน 3 สูงกว่าคนโซนอื่นนั้น มาถึงเวลานี้ก็พบแล้วว่าแม้จะมีการประมูลได้ในราคาต่ำมากในโซน 1 และ 2 ก็ไม่สามารถจัดซื้อได้จริง ดังนั้น จึงมีมติให้ยกเลิกคำสั่งเลิกการประมูลโซน 3 ซึ่งจะมีผลให้ บ.สุพรีมฯ สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในโซนนี้ต่อไปได้ สำหรับโซน 4 ชั้น ม.1 (ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ขณะนี้ได้เริ่มทยอยส่งของไปบ้างแล้ว และคาดว่าจะสามารถดำเนินการต่อไปได้
“ที่ประชุมมีมติให้ สพฐ.ไปจัดประกวดราคาจัดซื้อแท็บเล็ตในโซน 1 และ โซน 2 ใหม่ โดยใช้สเปก และประกาศประกวดราคา หรือทีโออาร์ เดิม และรวมทั้งให้ สพฐ. ไปสรุปบทเรียนที่เกิดจากการจัดซื้อในปีที่ผ่านมาทั้งหมดมากำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ศัยภาพของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก และให้ไปพิจารณาด้วยว่า สเปกเดิมจะล้าสมัยไปหรือไม่แต่คงจะมีการเปลี่ยนแปลงสเปกให้น้อยที่สุด เพราะจะมีผลต่อการเรียกร้องค่าเสียหายจาก บ.เสิ่นเจิ้น อิงถังฯ เพราะการเรียกร้องส่วนต่างที่เกิดจากการประมูลใหม่จะทำได้ต่อเมื่อจัดซื้อตามสเปกเดิมเท่านั้น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสเปกจะเรียกร้องค่าเสียหายได้ลำบาก ทั้งนี้ การประกวดราคารอบใหม่ในโซน 1 และ 2 คาดว่าจะใช้เวลาในการประกวดราคาประมาณ 45-50 วัน เมื่อทำสัญญาแล้วให้ส่งของให้ครบภายใน 90 วัน คำนวณแล้วนักเรียนทุกคนน่าจะได้รับแท็บเล็ตจากการจัดซื้อทุกโซนครบภายในเดือนมิถุนายน ดังนั้น นักเรียน ป.1 และ ม.1 รุ่นนี้จะได้รับแท็บเล็ตใช้เรียนเมื่อขึ้นชั้น ป.2 และ ม.2 ในปีการศึกษา 2557” นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ส่วนการจัดซื้อแท็บเล็ตในปีงบประมาณ 2557 อาจจะแบ่งโซนให้มากขึ้น และให้แยกจัดซื้อเองเพื่อให้การจัดซื้อในแต่ละพื้นที่มีขนาดเล็กลง เพราะการจัดซื้อในปี 2556 ที่ซื้อรวมมีปัญหาแต่การแยกซื้อก็ต้องคำนึงถึงการป้องกันทุจริตด้วยจึงต้องไปเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของทั้ง 2 รูปแบบ รวมทั้งต้องเพิ่มระเบียบการป้องกันความเสียหาย หรือเรียกค่าเสียหายจากการส่งของล่าช้าด้วย