เตือน 7 กลุ่มพื้นที่ จ.ภาคเหนือ ระวังหมอกควันเสี่ยงสุขภาพทรุดง่ายกว่าคนทั่วไป สธ.สั่งทุกโรงพยาบาลเตรียมพร้อมยาเวชภัณฑ์ดูแล ระบุสำรองหน้ากากอนามัยแล้ว ย้ำอย่าออกกำลังกายในที่แจ้ง เพิ่มการหายใจเอาอากาศ 10-20 เท่า เผยลำปางฝุ่นละอองเกินมาตรฐานเล็กน้อย
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การเตรียมรับมือผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาหมอกควันไฟในจังหวัดภาคเหนือตอนบน สธ.เตรียมความพร้อม 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จ.เชียงใหม่ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ และพะเยา ตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย. ขณะนี้ได้สำรองหน้ากากอนามัยสำหรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน 2.สั่งการโรงพยาบาลทุกระดับในพื้นที่เตรียมพร้อมเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ เวชภัณฑ์ ยาประจำห้องฉุกเฉิน เพื่อให้บริการประชาชน และ 3.เร่งประชาสัมพันธ์ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองจากภาวะหมอกควัน และขอความร่วมมืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนรณรงค์งดเผาป่า หญ้า วัชพืช หรือขยะเพื่อลดมลพิษในอากาศ
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า อันตรายของฝุ่นละอองหมอกควันจากการเผาป่า วัชพืช และขยะ แบ่งเป็น 4 กลุ่มโรค คือ 1.โรคทางเดินหายใจ 2.โรคหัวใจ และหลอดเลือด 3.โรคตาอักเสบ และ 4.โรคผิวหนังอักเสบ โดยผลกระทบต่อสุขภาพจะขึ้นกับระยะเวลาการสัมผัส อายุ ความต้านทานแต่ละบุคคล ความเข้มข้นของมลพิษ ประวัติการป่วยเป็นโรคปอด หรือโรคหัวใจ และอื่นๆ อาการป่วยเริ่มตั้งแต่ขั้นเล็กน้อยจนถึงรุนแรง ได้แก่ แสบตา แสบจมูก ตาแดง น้ำตาไหล คอแห้ง ระคายคอ ไอ หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า กลุ่มเสี่ยงที่เจ็บป่วยได้ง่าย ได้แก่ กลุ่มเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และผู้ป่วยโรคหัวใจ ทั้ง 7 กลุ่มต้องระมัดระวังสังเกตอาการตนเอง ผู้ที่ต้องกินยาควบคุมอาการประจำต้องกินให้ต่อเนื่อง จัดเตรียมยาที่จำเป็นไว้ให้พร้อมขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูดละอองหมอกควัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือหน้ากากอนามัยปิดปาก และจมูก โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานคือ เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และควรลดกิจกรรมการใช้แรงมากๆ เช่น ออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง เพราะจะเพิ่มการหายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกาย 10-20 เท่า รวมทั้งงดสูบบุหรี่ และควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ซึ่งน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับฝุ่นละอองออกจากระบบทางเดินหายใจง่ายขึ้น ไม่สะสมในปอด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม แสบตา ขอให้รีบไปพบแพทย์
“สิ่งที่ประชาชนควรปฏิบัติ ได้แก่ 1.ปิดประตูหน้าต่างบ้านให้มิดชิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาเช้า เนื่องจากหมอกควันจะลอยต่ำ 2.ประชาชนควรทำความสะอาดบ้าน ของใช้ภายในบ้าน โดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ไม้กวาดทำความสะอาด เพราะจะทำให้ฝุ่นกระจายมากยิ่งขึ้น” อธิบดี คร. กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ รายงานเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพในโรงพยาบาล 42 แห่งในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-25 ม.ค. ยังไม่พบความผิดปกติ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตามปกติ จำนวน 49,767 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 22,334 ราย รองลงมาคือ โรคระบบทางเดินหายใจ จำนวน 16,923 ราย ที่ผ่านมา มีเพียงจุดตรวจวัดศาลหลักเมืองจังหวัดลำปางเท่านั้นที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานเล็กน้อย โดยวันที่ 28 ม.ค. วัดได้ 127 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประชาชนยังสามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การเตรียมรับมือผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาหมอกควันไฟในจังหวัดภาคเหนือตอนบน สธ.เตรียมความพร้อม 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 จ.เชียงใหม่ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ และพะเยา ตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย. ขณะนี้ได้สำรองหน้ากากอนามัยสำหรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน 2.สั่งการโรงพยาบาลทุกระดับในพื้นที่เตรียมพร้อมเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ เวชภัณฑ์ ยาประจำห้องฉุกเฉิน เพื่อให้บริการประชาชน และ 3.เร่งประชาสัมพันธ์ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองจากภาวะหมอกควัน และขอความร่วมมืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนรณรงค์งดเผาป่า หญ้า วัชพืช หรือขยะเพื่อลดมลพิษในอากาศ
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า อันตรายของฝุ่นละอองหมอกควันจากการเผาป่า วัชพืช และขยะ แบ่งเป็น 4 กลุ่มโรค คือ 1.โรคทางเดินหายใจ 2.โรคหัวใจ และหลอดเลือด 3.โรคตาอักเสบ และ 4.โรคผิวหนังอักเสบ โดยผลกระทบต่อสุขภาพจะขึ้นกับระยะเวลาการสัมผัส อายุ ความต้านทานแต่ละบุคคล ความเข้มข้นของมลพิษ ประวัติการป่วยเป็นโรคปอด หรือโรคหัวใจ และอื่นๆ อาการป่วยเริ่มตั้งแต่ขั้นเล็กน้อยจนถึงรุนแรง ได้แก่ แสบตา แสบจมูก ตาแดง น้ำตาไหล คอแห้ง ระคายคอ ไอ หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า กลุ่มเสี่ยงที่เจ็บป่วยได้ง่าย ได้แก่ กลุ่มเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และผู้ป่วยโรคหัวใจ ทั้ง 7 กลุ่มต้องระมัดระวังสังเกตอาการตนเอง ผู้ที่ต้องกินยาควบคุมอาการประจำต้องกินให้ต่อเนื่อง จัดเตรียมยาที่จำเป็นไว้ให้พร้อมขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสูดละอองหมอกควัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือหน้ากากอนามัยปิดปาก และจมูก โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานคือ เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และควรลดกิจกรรมการใช้แรงมากๆ เช่น ออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง เพราะจะเพิ่มการหายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกาย 10-20 เท่า รวมทั้งงดสูบบุหรี่ และควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ ซึ่งน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับฝุ่นละอองออกจากระบบทางเดินหายใจง่ายขึ้น ไม่สะสมในปอด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอ แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม แสบตา ขอให้รีบไปพบแพทย์
“สิ่งที่ประชาชนควรปฏิบัติ ได้แก่ 1.ปิดประตูหน้าต่างบ้านให้มิดชิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาเช้า เนื่องจากหมอกควันจะลอยต่ำ 2.ประชาชนควรทำความสะอาดบ้าน ของใช้ภายในบ้าน โดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ไม้กวาดทำความสะอาด เพราะจะทำให้ฝุ่นกระจายมากยิ่งขึ้น” อธิบดี คร. กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ รายงานเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพในโรงพยาบาล 42 แห่งในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 5-25 ม.ค. ยังไม่พบความผิดปกติ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตามปกติ จำนวน 49,767 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 22,334 ราย รองลงมาคือ โรคระบบทางเดินหายใจ จำนวน 16,923 ราย ที่ผ่านมา มีเพียงจุดตรวจวัดศาลหลักเมืองจังหวัดลำปางเท่านั้นที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานเล็กน้อย โดยวันที่ 28 ม.ค. วัดได้ 127 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประชาชนยังสามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ