บางคนอาจจะทำบุญด้วยทรัพย์ ขณะที่บางคนอาจจะทำบุญด้วยการใช้แรงงานไปเป็นอาสาสมัคร ซึ่งก็จะได้รับผลบุญเช่นกัน นั่นคือความสุขใจ สบายใจกับการให้
มูลนิธิสุขภาพไทยได้จับมือกับสถานสงเคราะห์เด็ก ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยการพาอาสาสมัครไปดูแลและสร้างความสุขให้แก่เด็กๆ ซึ่งสถานการณ์ของสถานสงเคราะห์บ้านเราในตอนนี้ ทางด้านกายภาพไม่มีปัญหา แต่ยังขาดพี่เลี้ยง เพราะมีเจ้าหน้าที่จำนวนจำกัด
นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการเลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า เพื่อให้อาสาสมัครที่เข้ามาทำงานกับมูลนิธิสุขภาพไทยมีกำลังใจ มีทัศนคติ และมุมมองด้านการทำงานอาสาสมัครมากขึ้น มูลนิธิฯ จึงพาอาสาสมัครจำนวน 25 คน ไปดูงานที่โรงเรียนฉือจี้เชียงใหม่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2557 ที่ผ่านมา และที่เลือกศึกษาดูงานที่โรงเรียนฉือจี้ เพราะเป็นองค์กรด้านศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จากไต้หวัน ที่มีหลักคิดด้านการทำงานอาสาสมัคร และจริยธรรม เพราะเขาไปช่วยผู้ประสบภัยหลายๆ แห่งทั่วโลก และเพื่อเป็นการให้กำลังใจอาสา ตลอดจนเปิดพื้นที่ของการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนเองเพิ่มขึ้นโดยอาสาสมัครที่มาร่วมงานกับมูลนิธินั้น มาจากทุกกลุ่มอายุ หลากหลายอาชีพ โดยมีตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ไปจนถึงข้าราชการเกษียณอายุ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าชาย โดยขณะนี้มีอาสาสมัครทั้ง แบบระยะสั้น คือเข้ามาทำงาน 3-4 เดือนครั้ง หรือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จำนวนกว่า 1,000 คน และอาสาสมัครที่ทำงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิ เรียกว่าอาสาสมัครแบบระยะยาว มีประมาณ 100 คน
“การดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์นั้น เราพบว่าสิ่งที่ยังขาด และเราควรจะช่วยกันส่งเสริมคือ การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์แบบต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงให้อาสาสมัครจับคู่กับน้องคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยทุกครั้งที่เข้าไปดูแลน้อง ก็จะต้องไปดูแลพูดคุยกับคนเดิม จนเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ” วีรพงษ์กล่าว
น.ส.อารีรัตน์ นิลประเสริฐ อายุ 42 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง กล่าวว่า เธอเข้ามาเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิสุขภาพไทย เนื่องจากตอนแรกตามเพื่อนไป แล้วได้ยินคำพูดที่ว่า เราจะไปให้ความรักกับเด็กๆ ในสถานสงเคราะห์ แต่สุดท้ายเรากลับได้ความรักกลับมาเต็มหัวใจ ตั้งแต่นั้นมาจึงลองเข้าไปทำงานดูแล้วก็พบว่ามันเป็นความจริง โดยเฉพาะในช่วงที่เรากำลังมีปัญหากับงาน หรือชีวิต บางทีเราเครียดจนปวดหัว แต่เมื่อเราได้ไปดูแลน้อง นวดให้น้อง เราก็หายปวดหัวไปโดยไม่รู้ตัว
“ก็จะไปเลี้ยงน้อง ล้างขวดนมให้น้อง ที่สถานสงเคราะห์บ้านปากเกร็ด ทุกวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ หรือไม่ก็ไปทั้ง 2 วันเลยค่ะ พอดีตัวเองสถานภาพโสด ยังไม่มีครอบครัว ก็เลยสามารถทำงานอาสาสมัครตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ และรู้สึกมีความสุขมาก เวลาที่เราไปหาน้องๆ พอไปถึงเขาก็จะร้องบอกว่า พี่อารีมาแล้วด้วยความดีใจ จึงทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องไปหาเขา ไม่ทิ้งเขา ถ้าเรารู้ว่าอาทิตย์ไหนติดงาน หรือมีภารกิจอื่น ก็จะไปชดเชย 2 วัน ทั้งเสาร์และอาทิตย์” น.ส.อารีรัตน์ กล่าว
นางนนทภัทร ประวีณชัยกุล ผอ.โรงเรียนฉือจี้ กล่าวว่า โรงเรียนก่อตั้งในปี 2548 โดยครูรุ่นแรก จะต้องไปอบรมที่ไต้หวันเป็นเวลา 6 เดือน ในสภาพแวดล้อมของฉือจี้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การใช้ชีวิตต่างๆ การวางตน รวมทั้งภาษาด้วย โดย ผอ.ของโรงเรียนนี้ จะต้องทำทุกอย่างได้เช่นเดียวกับครูและนักเรียนทุกคน เช่นการปูพื้นอิฐ ปลูกหญ้า ทำความสะอาด
“ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กนักเรียนได้ และต้องเข้าใจให้ดีก่อนที่จะสอนนักเรียน โดยเฉพาะในแนวทางของฉือจี้ ที่มีแบบแผนเฉพาะตัว ซึ่งเราจะต้องเชื่อในสิ่งที่เราทำ และทำในสิ่งที่เราเชื่อ” ผอ.โรงเรียนฉือจี้กล่าว
ทั้งนี้หากผู้มาเยือนย่างก้าวเข้ามาในสถานศึกษาแห่งนี้ อาจจะรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพอาคาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์จีน ตลอดจนสภาพแวดล้อม และอากาศในฤดูหนาวที่มีหมอกคลุมไปจนถึงเวลา 10 โมงเช้านั้น เหมือนอยู่ในต่างประเทศมากกว่าเมืองไทย
สำหรับโรงเรียนฉือจี้ ตั้งอยู่ที่ ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6 โดยมีระดับชั้นละ 2 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน มีนักเรียนทั้งสิ้นประมาณ 670 คน และมีครู 68 คน โดยครูทุกคนจะได้รับการอบรมตามแนวทางของฉือจี้ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้
ส่วนวิถีชีวิตของนักเรียน 1 วัน ในฉือจี้นั้น จะมีรูปแบบเฉพาะตัวตั้งแต่การเดิน การกิน การปฏิบัติตนเอง การเรียนรู้การเป็นผู้นำและผู้ตาม ซึ่งผู้มาเยือนจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปเมื่อย่างก้าวเข้าสู่โรงเรียนฉือจี้แห่งนี้ กระทั่งมีหลายคนที่มาดูงาน หรือรับรู้แนวทางของโรงเรียน ก็จะต้องพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะมีโรงเรียนแบบนี้ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่บ้าง หรือไม่ก็น่าจะมีโรงเรียนฉือจี้ไปทั่วประเทศไทย จังหวัดละ 1 แห่ง เพราะแนวคิดขององค์กรฉือจี้ที่ทำงานอาสาสมัครไปทั่วโลก ทั้งด้านการแพทย์และการศึกษา ที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ควบคู่กับวิชาการ นับเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับการทำงานอาสาสมัครขององค์กรต่างๆ ด้วย
มูลนิธิสุขภาพไทยได้จับมือกับสถานสงเคราะห์เด็ก ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยการพาอาสาสมัครไปดูแลและสร้างความสุขให้แก่เด็กๆ ซึ่งสถานการณ์ของสถานสงเคราะห์บ้านเราในตอนนี้ ทางด้านกายภาพไม่มีปัญหา แต่ยังขาดพี่เลี้ยง เพราะมีเจ้าหน้าที่จำนวนจำกัด
นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ กรรมการเลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า เพื่อให้อาสาสมัครที่เข้ามาทำงานกับมูลนิธิสุขภาพไทยมีกำลังใจ มีทัศนคติ และมุมมองด้านการทำงานอาสาสมัครมากขึ้น มูลนิธิฯ จึงพาอาสาสมัครจำนวน 25 คน ไปดูงานที่โรงเรียนฉือจี้เชียงใหม่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.2557 ที่ผ่านมา และที่เลือกศึกษาดูงานที่โรงเรียนฉือจี้ เพราะเป็นองค์กรด้านศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จากไต้หวัน ที่มีหลักคิดด้านการทำงานอาสาสมัคร และจริยธรรม เพราะเขาไปช่วยผู้ประสบภัยหลายๆ แห่งทั่วโลก และเพื่อเป็นการให้กำลังใจอาสา ตลอดจนเปิดพื้นที่ของการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนเองเพิ่มขึ้นโดยอาสาสมัครที่มาร่วมงานกับมูลนิธินั้น มาจากทุกกลุ่มอายุ หลากหลายอาชีพ โดยมีตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ไปจนถึงข้าราชการเกษียณอายุ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าชาย โดยขณะนี้มีอาสาสมัครทั้ง แบบระยะสั้น คือเข้ามาทำงาน 3-4 เดือนครั้ง หรือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จำนวนกว่า 1,000 คน และอาสาสมัครที่ทำงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิ เรียกว่าอาสาสมัครแบบระยะยาว มีประมาณ 100 คน
“การดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์นั้น เราพบว่าสิ่งที่ยังขาด และเราควรจะช่วยกันส่งเสริมคือ การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์แบบต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงให้อาสาสมัครจับคู่กับน้องคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยทุกครั้งที่เข้าไปดูแลน้อง ก็จะต้องไปดูแลพูดคุยกับคนเดิม จนเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ” วีรพงษ์กล่าว
น.ส.อารีรัตน์ นิลประเสริฐ อายุ 42 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง กล่าวว่า เธอเข้ามาเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิสุขภาพไทย เนื่องจากตอนแรกตามเพื่อนไป แล้วได้ยินคำพูดที่ว่า เราจะไปให้ความรักกับเด็กๆ ในสถานสงเคราะห์ แต่สุดท้ายเรากลับได้ความรักกลับมาเต็มหัวใจ ตั้งแต่นั้นมาจึงลองเข้าไปทำงานดูแล้วก็พบว่ามันเป็นความจริง โดยเฉพาะในช่วงที่เรากำลังมีปัญหากับงาน หรือชีวิต บางทีเราเครียดจนปวดหัว แต่เมื่อเราได้ไปดูแลน้อง นวดให้น้อง เราก็หายปวดหัวไปโดยไม่รู้ตัว
“ก็จะไปเลี้ยงน้อง ล้างขวดนมให้น้อง ที่สถานสงเคราะห์บ้านปากเกร็ด ทุกวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ หรือไม่ก็ไปทั้ง 2 วันเลยค่ะ พอดีตัวเองสถานภาพโสด ยังไม่มีครอบครัว ก็เลยสามารถทำงานอาสาสมัครตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ และรู้สึกมีความสุขมาก เวลาที่เราไปหาน้องๆ พอไปถึงเขาก็จะร้องบอกว่า พี่อารีมาแล้วด้วยความดีใจ จึงทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องไปหาเขา ไม่ทิ้งเขา ถ้าเรารู้ว่าอาทิตย์ไหนติดงาน หรือมีภารกิจอื่น ก็จะไปชดเชย 2 วัน ทั้งเสาร์และอาทิตย์” น.ส.อารีรัตน์ กล่าว
นางนนทภัทร ประวีณชัยกุล ผอ.โรงเรียนฉือจี้ กล่าวว่า โรงเรียนก่อตั้งในปี 2548 โดยครูรุ่นแรก จะต้องไปอบรมที่ไต้หวันเป็นเวลา 6 เดือน ในสภาพแวดล้อมของฉือจี้ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การใช้ชีวิตต่างๆ การวางตน รวมทั้งภาษาด้วย โดย ผอ.ของโรงเรียนนี้ จะต้องทำทุกอย่างได้เช่นเดียวกับครูและนักเรียนทุกคน เช่นการปูพื้นอิฐ ปลูกหญ้า ทำความสะอาด
“ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กนักเรียนได้ และต้องเข้าใจให้ดีก่อนที่จะสอนนักเรียน โดยเฉพาะในแนวทางของฉือจี้ ที่มีแบบแผนเฉพาะตัว ซึ่งเราจะต้องเชื่อในสิ่งที่เราทำ และทำในสิ่งที่เราเชื่อ” ผอ.โรงเรียนฉือจี้กล่าว
ทั้งนี้หากผู้มาเยือนย่างก้าวเข้ามาในสถานศึกษาแห่งนี้ อาจจะรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพอาคาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์จีน ตลอดจนสภาพแวดล้อม และอากาศในฤดูหนาวที่มีหมอกคลุมไปจนถึงเวลา 10 โมงเช้านั้น เหมือนอยู่ในต่างประเทศมากกว่าเมืองไทย
สำหรับโรงเรียนฉือจี้ ตั้งอยู่ที่ ต.เวียง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.6 โดยมีระดับชั้นละ 2 ห้อง ห้องละประมาณ 30 คน มีนักเรียนทั้งสิ้นประมาณ 670 คน และมีครู 68 คน โดยครูทุกคนจะได้รับการอบรมตามแนวทางของฉือจี้ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้
ส่วนวิถีชีวิตของนักเรียน 1 วัน ในฉือจี้นั้น จะมีรูปแบบเฉพาะตัวตั้งแต่การเดิน การกิน การปฏิบัติตนเอง การเรียนรู้การเป็นผู้นำและผู้ตาม ซึ่งผู้มาเยือนจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปเมื่อย่างก้าวเข้าสู่โรงเรียนฉือจี้แห่งนี้ กระทั่งมีหลายคนที่มาดูงาน หรือรับรู้แนวทางของโรงเรียน ก็จะต้องพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะมีโรงเรียนแบบนี้ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่บ้าง หรือไม่ก็น่าจะมีโรงเรียนฉือจี้ไปทั่วประเทศไทย จังหวัดละ 1 แห่ง เพราะแนวคิดขององค์กรฉือจี้ที่ทำงานอาสาสมัครไปทั่วโลก ทั้งด้านการแพทย์และการศึกษา ที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ควบคู่กับวิชาการ นับเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับการทำงานอาสาสมัครขององค์กรต่างๆ ด้วย