สอศ.เตรียมจัดติวเข้มเด็กอาชีวะฐานวิทย์ ลุ้นชิงทุน 1 อ.1 ทุนรุ่น 4 รอบ 3 ย้ำใช้หลักเกณฑ์เดิมแต่เพิ่มข้อสอบคนละชุดกับประเภท 1 ยันข้อสอบไม่ง่ายขึ้นแค่เอื้อคนมาเป็นนักเทคโนฯ เล็งขายไอเดียทุนรุ่นใหม่ส่วนอาชีวะ ลดเกรดเหลือ 2.75 ไม่ต้องสอบข้อเขียนแต่ดูการปฏิบัติจริง ใครผ่านต้องติวเข้ม 1 ปี
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยถึงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 รอบ 3 ที่จะเพิ่มโอกาสในการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาให้ได้รับทุนครั้งนี้ ว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการหารือในประเด็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กสายอาชีพ โดยตนให้ความเห็นว่าหากจะให้ใช้รูปแบบการสอบคัดเลือกเดิมก็เป็นไปได้ยากที่เด็กอาชีวะจะมีโอกาสสอบผ่านการคัดเลือก เนื่องจากเมื่อพิจารณารายละเอียดโครงการที่ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้กำหนดให้ต้องใช้ข้อสอบกลางในการคัดเลือก ได้แก่ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และสังคม ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเด็กอาชีวะ จึงได้หารือเพื่อหาช่องทางอื่นๆ และพบว่ามีการกำหนดให้มีการคัดเลือกผู้รับทุนไปศึกษาโดยเน้นสาขาที่ขาดแคลนโดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้ประกาศ ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้หารือและเห็นว่าควรใช้ช่องทางนี้ เพื่อเด็กอาชีวะมีโอกาสรับทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติกำหนดให้เด็กอาชีวะที่เรียนในสาขาเทคโนโลยีฐานวิทย์ ซึ่งจะเป็นเด็กที่เรียนในวิทยาลัยฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโบยีของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีโอกาสเข้าสมัครทุนในโครงการ 1อ.1 ทุน รุ่น 4 รอบ 3 ในทุนประเภทที่ 2 เรียนดี แต่ไม่จำกัดรายได้ อย่างไรก็ตาม ได้หารือในที่ประชุมด้วยกว่าการคัดเลือกเด็กกลุ่มนี้จะใช้วิธีการพิเศษแต่ไม่ขัดกับมติ ครม.ซึ่งจะต้องมีการสอบข้อเขียน แต่ข้อสอบจะเหมาะสมกับผู้เข้ารับการสอบคัดเลือด ดังนั้น ข้อสอบจะเป็นคนละชุดกับผู้รับทุนประเภทที่ 1 เรียนดี แต่ยากจน โดยหลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไปคิดว่าข้อสอบจะเป็นอย่างไร
“เกณฑ์การคัดเลือกยังเป็นแบบเดิม รวมทั้งข้อสอบที่ใช้ยังคงเป็นข้อสอบกลาง และสอบ 4 วิชาเช่นเดิมแต่จะเน้นเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น อาจจะเป็นคณิตศาสตร์ช่าง วิทยาศาสตร์ช่าง หรือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับงานอาชีพ โดยเด็กจะต้องสอบผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 70% ทุกวิชา จากนั้นคัดเลือกผู้ที่มีคะแนนสูงสุดอันดับ 1-3 มาสอบสัมภาษณ์ นำคะแนนสัมภาษณ์ไปรวมกับคะแนนสอบข้อเขียนโดยจะให้สัดส่วนการสอบข้อเขียน 90% และสัมภาษณ์ 10% และเพื่อเอื้อโอกาสให้เด็กอาชีวะมากขึ้นจึงให้เด็กส่งประวัติและผลงานของตนเองมาร่วมพิจารณาด้วย โดยจะให้คะแนนในส่วนนี้อยู่ในส่วนของการสัมภาษณ์ ” นายชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า ยืนยันว่า ข้อสอบที่จะใช้สอบสำหรับผู้สมัครขอรับทุนประเภทที่ 2 นั้น รมว.ศึกษาธิการไม่ได้ต้องการให้ข้อสอบมีความง่ายขึ้น เพียงแต่อยากให้ข้อสอบเอื้อกับการที่จะได้คนมาเป็นนักเทคโนโลยีมากขึ้น โดย สอศ.จะจัดติวให้กับเด็กอาชีวะที่จะสมัครขอรับทุนด้วย
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าในรุ่นต่อไป จะมีการจัดสรรทุนตามโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ให้แก่เด็กอาชีวศึกษาเป็นการเฉพาะหรือไม่ แต่ สอศ.ก็ได้เตรียมหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ที่จะได้รับทุนโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นใหม่ในส่วนของอาชีวศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอต่อ ครม.ชุดใหม่ เบื้องต้นผู้ที่จะสมัครขอรับทุนจะต้องมีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.75 ส่วนการคัดเลือกจะไม่มีการสอบข้อเขียน แต่จะให้เด็กได้ปฏิบัติจริง และไปสังเกตว่าเด็กทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งจะพิจารณาควบคู่ไปกับประวัติและผลงานของเด็กว่าเคยมีสิ่งประดิษฐ์ หรือคิดค้นวัตกรรมใดบ้าง ทั้งนี้เมื่อเด็กคนใดผ่านการคัดเลือกก็จะต้องเข้าอบรมอย่างเข้มข้น 1 ปี ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม และวิชาพื้นฐาน จึงมั่นใจได้ว่าแม้จะไม่มีการสอบข้อเขียน แต่เรื่องวิชาสามัญเด็กก็จะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยถึงโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 รอบ 3 ที่จะเพิ่มโอกาสในการคัดเลือกนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาให้ได้รับทุนครั้งนี้ ว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการหารือในประเด็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กสายอาชีพ โดยตนให้ความเห็นว่าหากจะให้ใช้รูปแบบการสอบคัดเลือกเดิมก็เป็นไปได้ยากที่เด็กอาชีวะจะมีโอกาสสอบผ่านการคัดเลือก เนื่องจากเมื่อพิจารณารายละเอียดโครงการที่ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้กำหนดให้ต้องใช้ข้อสอบกลางในการคัดเลือก ได้แก่ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และสังคม ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเด็กอาชีวะ จึงได้หารือเพื่อหาช่องทางอื่นๆ และพบว่ามีการกำหนดให้มีการคัดเลือกผู้รับทุนไปศึกษาโดยเน้นสาขาที่ขาดแคลนโดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้ประกาศ ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้หารือและเห็นว่าควรใช้ช่องทางนี้ เพื่อเด็กอาชีวะมีโอกาสรับทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติกำหนดให้เด็กอาชีวะที่เรียนในสาขาเทคโนโลยีฐานวิทย์ ซึ่งจะเป็นเด็กที่เรียนในวิทยาลัยฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโบยีของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีโอกาสเข้าสมัครทุนในโครงการ 1อ.1 ทุน รุ่น 4 รอบ 3 ในทุนประเภทที่ 2 เรียนดี แต่ไม่จำกัดรายได้ อย่างไรก็ตาม ได้หารือในที่ประชุมด้วยกว่าการคัดเลือกเด็กกลุ่มนี้จะใช้วิธีการพิเศษแต่ไม่ขัดกับมติ ครม.ซึ่งจะต้องมีการสอบข้อเขียน แต่ข้อสอบจะเหมาะสมกับผู้เข้ารับการสอบคัดเลือด ดังนั้น ข้อสอบจะเป็นคนละชุดกับผู้รับทุนประเภทที่ 1 เรียนดี แต่ยากจน โดยหลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไปคิดว่าข้อสอบจะเป็นอย่างไร
“เกณฑ์การคัดเลือกยังเป็นแบบเดิม รวมทั้งข้อสอบที่ใช้ยังคงเป็นข้อสอบกลาง และสอบ 4 วิชาเช่นเดิมแต่จะเน้นเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น อาจจะเป็นคณิตศาสตร์ช่าง วิทยาศาสตร์ช่าง หรือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับงานอาชีพ โดยเด็กจะต้องสอบผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 70% ทุกวิชา จากนั้นคัดเลือกผู้ที่มีคะแนนสูงสุดอันดับ 1-3 มาสอบสัมภาษณ์ นำคะแนนสัมภาษณ์ไปรวมกับคะแนนสอบข้อเขียนโดยจะให้สัดส่วนการสอบข้อเขียน 90% และสัมภาษณ์ 10% และเพื่อเอื้อโอกาสให้เด็กอาชีวะมากขึ้นจึงให้เด็กส่งประวัติและผลงานของตนเองมาร่วมพิจารณาด้วย โดยจะให้คะแนนในส่วนนี้อยู่ในส่วนของการสัมภาษณ์ ” นายชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า ยืนยันว่า ข้อสอบที่จะใช้สอบสำหรับผู้สมัครขอรับทุนประเภทที่ 2 นั้น รมว.ศึกษาธิการไม่ได้ต้องการให้ข้อสอบมีความง่ายขึ้น เพียงแต่อยากให้ข้อสอบเอื้อกับการที่จะได้คนมาเป็นนักเทคโนโลยีมากขึ้น โดย สอศ.จะจัดติวให้กับเด็กอาชีวะที่จะสมัครขอรับทุนด้วย
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าในรุ่นต่อไป จะมีการจัดสรรทุนตามโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ให้แก่เด็กอาชีวศึกษาเป็นการเฉพาะหรือไม่ แต่ สอศ.ก็ได้เตรียมหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ที่จะได้รับทุนโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นใหม่ในส่วนของอาชีวศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอต่อ ครม.ชุดใหม่ เบื้องต้นผู้ที่จะสมัครขอรับทุนจะต้องมีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.75 ส่วนการคัดเลือกจะไม่มีการสอบข้อเขียน แต่จะให้เด็กได้ปฏิบัติจริง และไปสังเกตว่าเด็กทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งจะพิจารณาควบคู่ไปกับประวัติและผลงานของเด็กว่าเคยมีสิ่งประดิษฐ์ หรือคิดค้นวัตกรรมใดบ้าง ทั้งนี้เมื่อเด็กคนใดผ่านการคัดเลือกก็จะต้องเข้าอบรมอย่างเข้มข้น 1 ปี ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม และวิชาพื้นฐาน จึงมั่นใจได้ว่าแม้จะไม่มีการสอบข้อเขียน แต่เรื่องวิชาสามัญเด็กก็จะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน
