สธ.ปลื้ม! ญี่ปุ่นชื่นชมโครงการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนของไทย พร้อมร่วมมือกับไทยศึกษาพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มอื่นที่ต้องพึ่งพิง หรือ กลุ่มติดเตียง ติดบ้าน ในระยะยาว ให้มีความยั่งยืน ในพื้นที่ 6 จังหวัดต้นแบบ ตั้งแต่ พ.ศ. 2556-2560 หวังนำไปขยายผลในประเทศอาเซียน เชื่อว่าจะลดค่าใช้จ่ายการดูแลผู้สูงอายุในโรงพยาบาลได้มาก เผยขณะนี้ไทยมีผู้สูงวัยใกล้ 10 ล้านคน ร้อยละ 50 มีโรคประจำตัว
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สธ.ได้จัดทำโครงการความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น หรือไจก้า ( JICA) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการระยะยาวที่ยั่งยืน สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ รวมทั้งกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ ที่อยู่ในชุมชน และช่วยเหลือตนเองไม่ได้ซึ่งมีอาการคงที่ แต่ต้องการความช่วยเหลือในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การขับถ่าย เป็นต้น หรือที่เรียกว่ากลุ่มติดเตียง ติดบ้าน ซึ่งคาดว่าขณะนี้จะมีประมาณร้อยละ 1 ของประชากรทั่วประเทศ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแล รักษา และพัฒนาการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของผู้สูงอายุ ระงับและป้องกันอาการเจ็บป่วยไม่ให้แย่ลงกว่าเดิม และให้คำแนะนำเทคนิคการดูแลพยาบาล เพิ่มขวัญกำลังใจแก่ญาติหรือครอบครัว ในการร่วมกันดูแลผู้สูงอายุร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ใช้เวลาดำเนินการ 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2556-2560 ในพื้นที่ชุมชน 6 จังหวัดที่มีความหลากหลาย ทั้งชุมชนเมืองหนาแน่น ชุมชนเมืองทั่วไปและชนบท ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงราย นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี นนทบุรี และขอนแก่น โดยญี่ปุ่นมีแนวคิดจะนำรูปแบบของไทยไปขยายผลในประเทศอาเซียน ซึ่งมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันเพื่อดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
นายแพทย์ชาญวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการเดินทางไปร่วมประชุมความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาระบบการบริการดูแลสังคมผู้สูงอายุในภูมิภาค (ASEAN-Japan Seminar on the Regional Cooperative for the Aging Society) ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสนใจเรื่องระบบการดูแลผู้สูงอายุมาก เนื่องจากจะเป็นปัญหาใหญ่ในทุกประเทศทั่วโลก และญี่ปุ่นเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุมาก่อนประเทศอื่นๆ และเห็นว่าการดูแลผู้สูงอายุในสถานพยาบาลไม่สามารถบริการได้ครบด้าน และเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงสนับสนุนให้มีระบบการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งจะสามารถให้บริการครบถ้วนทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยญี่ปุ่นให้การชื่นชมประเทศไทย ซึ่งได้ทำการศึกษาเพื่อจัดระบบการดูแลผู้สูงอายุไทยในชุมชนในช่วง 5 ปีก่อน ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ใน 4 จังหวัด คือ เชียงราย สุราษฎร์ธานี นนทบุรี และขอนแก่น พบว่าได้ผลดี และเชื่อว่าไทยเดินมาถูกทาง ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในครอบครัวในชุมชนอย่างมีความสุข
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกรายงานในช่วงปี พ.ศ. 2543 และ พ.ศ.2593 สัดส่วนของประชากรโลกที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว จากประมาณร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 22 คือมีจำนวนเพิ่มจาก 605 ล้านคนเป็น 2,000 ล้านคน ส่วนไทยขณะนี้มีผู้สูงอายุจำนวน 9.5 ล้านคน ประมาณร้อยละ 15 ของประชากรทั้งประเทศ และประมาณร้อยละ 50 มีโรคประจำตัว มีผู้สูงอายุที่สมองเสื่อมต้องการคนดูแลประมาณ 265,000 คน
“สธ.มีนโยบายเพิ่มมาตรการส่งเสริมสุขภาพประชาชนให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพื่อสร้างสุขภาพดีแก่ประชาชนวัยต่างๆ ตามโครงการสุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ หรือ กู๊ดเฮลธ์ สตาร์ทส์ เฮียร์ ( good health starts here) วิธีการนี้จะช่วยชะลอการเจ็บป่วยของประชาชนให้ได้นานที่สุด ลดอัตราการเสียชีวิต ทำให้อายุคาดเฉลี่ยคนไทยเมื่อแรกเกิดสูงขึ้นอย่างต่ำ 80 ปี ในอีก 9 ปี เมื่อเปรียบเทียบการพัฒนากับประเทศอื่นในอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ดีที่สุดในเรื่องการดูแลเด็กอายุ 0-4 ปี อัตราตายเพียงร้อยละ 0.7 ขณะที่ไทยกับมาเลเซียอยู่ที่ร้อยละ 2.5 เท่ากัน สำหรับอัตราตายเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไทยมีร้อยละ 3.9 สูงกว่ามาเลเซียที่มีร้อยละ 3.6 ส่วนในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ประเทศไทยมีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าเวียดนาม ทำให้เวียดนามมีอายุคาดเฉลี่ยสูงกว่าไทย” นพ.ชาญวิทย์ กล่าว