โดย...กิตติศักดิ์ อ้อมชาติ
หลายคนอาจเคยมีอาการส่องกระจกแล้ว “ต๊กกะใจ” ว่าเราทำไมคล้ายคุณป้าข้างบ้าน แถมมีรอยตีนกาเดินผ่านที่ข้างตา อะไรที่เคยเด้งดึ๋ง เต่งตึง ก็กลับเริ่มหย่อนยาน การย้อนรอยสู่ความเยาว์วัย รักษาความสวยหล่อเอาไว้ให้คงทน นวัตกรรมทางการแพทย์ทั้งฉีด เสริม เติม แต่ง จึงได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมไทย ซึ่งสารสุดฮิตที่คนนิยมฉีดเสริมความงามในปัจจุบัน มีอยู่ 2 ตัว คือ โบท็อกซ์ และฟิลเลอร์
ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา แพทย์ประจำศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล อธิบายถึง “โบท็อกซ์” ไว้ในงาน “สองทศววรษตจวิทยา สร้างคุณค่า นำพาสังคม” ว่า โบท็อกซ์ หรือชื่อทางการแพทย์คือ “โบทูลินัม ท็อกซิน” จัดเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยกลไกจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับยาขยับน้อยลงและคลายตัวออก รอยย่นที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น หน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางตาจะค่อยๆ หายไป หรืออีกนัยหนึ่งคือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยจะเกิดผลเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ฉีด จะทำให้รอยหายไปใน 3-5 วัน และผลการรักษาจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
“วิธีการคือต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น การทายาไม่สามารถทำให้สารซึมลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อได้ ทั้งนี้ นอกจากรักษารอยย่นบนใบหน้าแล้ว โบท็อกซ์ยังช่วยลดขนาดหรือเปลี่ยนรูปทรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนได้ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณกรามมีขนาดใหญ่ ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นใน 4 สัปดาห์ เนื่องจากโบท็อกซ์ไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน นอกจากนี้ คนที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ ก็สามารถฉีดโบท็อกซ์รักษาได้ แต่จะอยู่ได้ประมาณ 6-10 เดือน”
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์ ผศ.พญ.รังสิมา กล่าวว่า มีอยู่ 5 ข้อคือ 1.มีประวัติภูมิแพ้อย่างรุนแรงต่อโบทูลินัม ท็อกซิน 2.หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร 3.มีความผิดปกติของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง 4.มีปัญหาเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือกำลังกินยาที่มีผลทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก 5.กำลังรักษาด้วยยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์
“หลังการฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ เช่น หนังตาบนตก คิ้วตก มุมปากตก รูปปากเบี้ยว รอยจ้ำเลือดตำแหน่งที่ฉีดยา การเกิดภูมิต้านทานต่อโบท็อกซ์ และอาจพบอาการตาแห้งหลังการฉีด ดังนั้นแพทย์ที่ใช้ควรมีความรู้ความเข้าใจทางเภสัชวิทยาของโบทูลินัม ท็อกซิน ควรรู้วิธีผสมยา การรักษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรมีความรู้พื้นฐานทางกายวิภาคของกล้ามเนื้อแต่ละมัด ตลอดจนเทคนิคการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผลการรักษาเกิดประโยชน์สูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด”
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มนั้น รศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ แพทย์ประจำศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง กล่าวว่า สารฟิลเลอร์ตัวล่าสุดที่นิยมใช้คือ กลุ่มไฮยารูโลนิก แอซิด หรือ “เอชเอ” ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในผิวมนุษย์ ซึ่งสารตัวนี้นำมาใช้ประมาณ 10 ปีแล้ว โดยพบว่าไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือก้อนในภายหลัง โดยนำมาฉีดเสริมจมูก เติมร่องลึก รอยบุ๋ม บริเวณร่องแก้ม หางตา เพิ่มโหนกแก้ม สันจมูก คาง เพิ่มสัดส่วนรูปหน้า ส่วนผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น อาการแพ้ ไหลย้อย และเจ็บ
ทั้งนี้ ฟิลเลอร์แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ 1.สลายเองโดยธรรมชาติ อยู่ได้ 4-6 เดือน 2.ไม่สลายเลย เช่น ซิลิโคน พาราฟิน และ 3.สลายช้าๆ 1-2 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำฟิลเลอร์มาใช้มากขึ้นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมา รศ.นพ.วรพงษ์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ชนิดที่ไม่สลายหรือสลายช้า แต่ควรใช้ชนิดที่สลายเองโดยธรรมชาติ รวมถึงต้องฉีดให้เหมาะสมกับชั้นผิวด้วย เนื่องจากฟิลเลอร์มีทั้งโมเลกุลเล็กและใหญ่ หากฉีดแบบโมเลกุลใหญ่เข้าไปชั้นผิวหนังตื้นๆ จะทำให้บริเวณที่ฉีดขรุขระได้ และบางรายฉีดแล้วอาจเกิดอุดตันที่เส้นเลือดก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นตาบอดและเสียชีวิต
“ข้อควรปฏิบัติหลังจากการฉีดหรือรักษาทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกซ์คือ 1.ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการฉีด 2.ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการฉีด เนื่องจากอาจทำให้ยากระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการได้ และ 3.มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผล เมื่อพบความผิดปกติใดเกิดขึ้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง”
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจควักกระเป๋าเพื่อความหล่อความสวย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ควรเลือกใช้บริการกับแพทย์เท่านั้น เพราะสมัยนี้หมอกระเป๋าหาง่าย และทำให้ตายก็มีมาก อย่าเห็นแก่ราคาถูกๆ เป็นอันขาด
หลายคนอาจเคยมีอาการส่องกระจกแล้ว “ต๊กกะใจ” ว่าเราทำไมคล้ายคุณป้าข้างบ้าน แถมมีรอยตีนกาเดินผ่านที่ข้างตา อะไรที่เคยเด้งดึ๋ง เต่งตึง ก็กลับเริ่มหย่อนยาน การย้อนรอยสู่ความเยาว์วัย รักษาความสวยหล่อเอาไว้ให้คงทน นวัตกรรมทางการแพทย์ทั้งฉีด เสริม เติม แต่ง จึงได้รับความนิยมอย่างมากในสังคมไทย ซึ่งสารสุดฮิตที่คนนิยมฉีดเสริมความงามในปัจจุบัน มีอยู่ 2 ตัว คือ โบท็อกซ์ และฟิลเลอร์
ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา แพทย์ประจำศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล อธิบายถึง “โบท็อกซ์” ไว้ในงาน “สองทศววรษตจวิทยา สร้างคุณค่า นำพาสังคม” ว่า โบท็อกซ์ หรือชื่อทางการแพทย์คือ “โบทูลินัม ท็อกซิน” จัดเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว โดยกลไกจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับยาขยับน้อยลงและคลายตัวออก รอยย่นที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น หน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางตาจะค่อยๆ หายไป หรืออีกนัยหนึ่งคือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยจะเกิดผลเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ฉีด จะทำให้รอยหายไปใน 3-5 วัน และผลการรักษาจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
“วิธีการคือต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น การทายาไม่สามารถทำให้สารซึมลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อได้ ทั้งนี้ นอกจากรักษารอยย่นบนใบหน้าแล้ว โบท็อกซ์ยังช่วยลดขนาดหรือเปลี่ยนรูปทรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนได้ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณกรามมีขนาดใหญ่ ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นใน 4 สัปดาห์ เนื่องจากโบท็อกซ์ไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน นอกจากนี้ คนที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ ก็สามารถฉีดโบท็อกซ์รักษาได้ แต่จะอยู่ได้ประมาณ 6-10 เดือน”
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์ ผศ.พญ.รังสิมา กล่าวว่า มีอยู่ 5 ข้อคือ 1.มีประวัติภูมิแพ้อย่างรุนแรงต่อโบทูลินัม ท็อกซิน 2.หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร 3.มีความผิดปกติของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง 4.มีปัญหาเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือกำลังกินยาที่มีผลทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก 5.กำลังรักษาด้วยยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์
“หลังการฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ เช่น หนังตาบนตก คิ้วตก มุมปากตก รูปปากเบี้ยว รอยจ้ำเลือดตำแหน่งที่ฉีดยา การเกิดภูมิต้านทานต่อโบท็อกซ์ และอาจพบอาการตาแห้งหลังการฉีด ดังนั้นแพทย์ที่ใช้ควรมีความรู้ความเข้าใจทางเภสัชวิทยาของโบทูลินัม ท็อกซิน ควรรู้วิธีผสมยา การรักษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรมีความรู้พื้นฐานทางกายวิภาคของกล้ามเนื้อแต่ละมัด ตลอดจนเทคนิคการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผลการรักษาเกิดประโยชน์สูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด”
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มนั้น รศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ แพทย์ประจำศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง กล่าวว่า สารฟิลเลอร์ตัวล่าสุดที่นิยมใช้คือ กลุ่มไฮยารูโลนิก แอซิด หรือ “เอชเอ” ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในผิวมนุษย์ ซึ่งสารตัวนี้นำมาใช้ประมาณ 10 ปีแล้ว โดยพบว่าไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือก้อนในภายหลัง โดยนำมาฉีดเสริมจมูก เติมร่องลึก รอยบุ๋ม บริเวณร่องแก้ม หางตา เพิ่มโหนกแก้ม สันจมูก คาง เพิ่มสัดส่วนรูปหน้า ส่วนผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น อาการแพ้ ไหลย้อย และเจ็บ
ทั้งนี้ ฟิลเลอร์แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ 1.สลายเองโดยธรรมชาติ อยู่ได้ 4-6 เดือน 2.ไม่สลายเลย เช่น ซิลิโคน พาราฟิน และ 3.สลายช้าๆ 1-2 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำฟิลเลอร์มาใช้มากขึ้นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมา รศ.นพ.วรพงษ์ แนะนำว่า ไม่ควรใช้ชนิดที่ไม่สลายหรือสลายช้า แต่ควรใช้ชนิดที่สลายเองโดยธรรมชาติ รวมถึงต้องฉีดให้เหมาะสมกับชั้นผิวด้วย เนื่องจากฟิลเลอร์มีทั้งโมเลกุลเล็กและใหญ่ หากฉีดแบบโมเลกุลใหญ่เข้าไปชั้นผิวหนังตื้นๆ จะทำให้บริเวณที่ฉีดขรุขระได้ และบางรายฉีดแล้วอาจเกิดอุดตันที่เส้นเลือดก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นตาบอดและเสียชีวิต
“ข้อควรปฏิบัติหลังจากการฉีดหรือรักษาทั้งฟิลเลอร์และโบท็อกซ์คือ 1.ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการฉีด 2.ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการฉีด เนื่องจากอาจทำให้ยากระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการได้ และ 3.มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผล เมื่อพบความผิดปกติใดเกิดขึ้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง”
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจควักกระเป๋าเพื่อความหล่อความสวย ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ควรเลือกใช้บริการกับแพทย์เท่านั้น เพราะสมัยนี้หมอกระเป๋าหาง่าย และทำให้ตายก็มีมาก อย่าเห็นแก่ราคาถูกๆ เป็นอันขาด