สธ.ฟุ้งตรวจ 3 เขตบริการสุขภาพ พบช่วยลดแออัด รพ.ลดรอคิว ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 6 ล้านบาท เดินหน้าประเมินทั้ง 12 เขตภายใน ก.พ. 2557 เผยเล็งแก้ปัญหา รพ.ไม่ผ่าตัดเพราะไม่มีวิสัญญีแพทย์ตามข้อกำหนด ประสานหารือแพทยสภา-ราชวิทยาลัยให้ดำเนินการได้ และการทำงานอื่นๆ ภายใต้การควบคุมของ สธ.
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สิ่งที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องการจัดเขตบริการสุขภาพคือ จะช่วยให้การบริการดีขึ้นอย่างไร โดยเฉพาะการลดความแออัดของโรงพยาบาล ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเขตสุขภาพต่างๆ พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีการเก็บข้อมูลทำให้ทราบถึงการใช้บริการของผู้ป่วยนอกในกลุ่มโรคทั่วไป จึงสามารถปรับปรุงการให้บริการในรูปแบบเครือข่ายเป็นกลุ่มบริการในระดับพื้นที่ได้ อย่างโรคต้อกระจก บางพื้นที่มีผู้ป่วยมาก แพทย์น้อย ก็จัดรถโมบายยูนิตให้บริการเวียนกันไป เช่น แพทย์เฉพาะทางโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีแพทย์จำนวนมาก ไปช่วยรักษาผู้ป่วยต้อกระจกในโรงพยาบาลขนาดเล็ก ลดปัญหาการกระจุกตัวของแพทย์ และลดปัญหาคนไข้รอคิวผ่าตัดในโรงพยาบาลใหญ่
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ดูเขตบริการสุขภาพที่เขต 4 เขต 5 และเขต 6 มีการดำเนินการดังกล่าว และจากการหารือในแต่ละเขตมีการตั้งเป้าว่า จะต้องลดการรับผู้ป่วยโรคทั่วไป ซึ่งบางโรคไม่จำเป็นต้องแอดมิต หรือเข้ามารักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยโรงพยาบาลระดับสูงต้องลดลงประมาณ 15% โรงพยาบาลระดับสแตนดาร์ดลดลง 25% โรงพยาบาลขนาดเล็กแต่มีศักยภาพ คือ โรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก ลดลง 35% เป็นต้น
นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการสาธารณสุข (สบรส.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เขตบริการสุขภาพที่ 4 พบมีการวางแผนลดความแออัด โดยพัฒนาศูนย์สาธารณสุขมูลฐาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) ขนาดใหญ่ และการผ่าตัดไส้ติ่งในโรงพยาบาลชุมชน คลินิก NCD มีการพัฒนาตามแผนโรค....ต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารร่วมกันในผู้ป่วยมะเร็ง ระหว่าง รพ.มะเร็งลพบุรี และ รพ.ธัญบุรี ในประเด็นการรักษาบรรเทาและการส่งกลับไปพักรักษาในโรงพยาบาลในพื้นที่ภายหลังการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระดับสูง แต่ยังมีการส่งต่อนอกเขตในสัดส่วนที่สูงและการทบทวนการส่งต่อในจังหวัดให้มีการวิเคราะห์เพื่อการวางแผนพัฒนากลไกทางการเงินในการจัดบริการให้เหมาะสม
นพ.ธงชัย กล่าวอีกว่า ส่วนเขต 5 เป็นเรื่องการลดต้นทุนด้านยาและวัสดุการแพทย์ มีการวิเคราะห์และวางแผนที่เป็นระบบ ทำให้ลดต้นทุนได้ดี 2.7-6.3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ยังมีจำนวนแพทย์และแพทย์เฉพาะทางในบางสาขาในสัดส่วนที่สูง ควรวางแผนการจัดบริการในระดับโรงพยาบาลที่เป็นแกนนำในเครือข่ายและมีผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เขต 6 พบว่า ผู้บริหารเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่เป็นทีม ให้เขตพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น สรุปประเด็นประสิทธิภาพและคุณภาพได้ดีมาก บ่งชี้ประเด็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ที่จะนำไปสู่การวางแผนพัฒนาต่อไป เริ่มมีแผนการลดค่าใช้จ่ายด้านยาและวัสดุวิทยาศาสตร์ในภาพรวม ทั้งนี้ จะดำเนินการตรวจเยี่ยมเขตบริการสุขภาพอื่นให้ครบทั้ง 12 เขตภายใน ก.พ. 2557
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.กล่าวว่า ใน 3 พื้นที่จากการประเมินพบปัญหาเรื่องมาตรฐานการรักษาของโรงพยาบาลสังกัด สธ.กับของราชวิทยาลัย บางเรื่องไม่สามารถไปด้วยกันได้ ตนจึงจะประสานผ่าน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ ผอ.รพ.สมุทรปราการ และเลขาธิการแพทยสภา เพื่อขอให้แพทยสภาหารือร่วมกับราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ รพ.สธ.ทำงานให้บริการประชาชนในบางเรื่องภายใต้การคุ้มครองของ สธ.เช่น การผ่าตัดโดยไม่มีวิสัญญีในบางโรงพยาบาล เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งไม่ทำการผ่าตัด เพราะไม่มีวิสัญญีแพทย์ตามมาตรฐานการรักษาของราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินการพัฒนาเขตบริการสุขภาพต้องเดินหน้าไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สิ่งที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องการจัดเขตบริการสุขภาพคือ จะช่วยให้การบริการดีขึ้นอย่างไร โดยเฉพาะการลดความแออัดของโรงพยาบาล ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเขตสุขภาพต่างๆ พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีการเก็บข้อมูลทำให้ทราบถึงการใช้บริการของผู้ป่วยนอกในกลุ่มโรคทั่วไป จึงสามารถปรับปรุงการให้บริการในรูปแบบเครือข่ายเป็นกลุ่มบริการในระดับพื้นที่ได้ อย่างโรคต้อกระจก บางพื้นที่มีผู้ป่วยมาก แพทย์น้อย ก็จัดรถโมบายยูนิตให้บริการเวียนกันไป เช่น แพทย์เฉพาะทางโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีแพทย์จำนวนมาก ไปช่วยรักษาผู้ป่วยต้อกระจกในโรงพยาบาลขนาดเล็ก ลดปัญหาการกระจุกตัวของแพทย์ และลดปัญหาคนไข้รอคิวผ่าตัดในโรงพยาบาลใหญ่
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ดูเขตบริการสุขภาพที่เขต 4 เขต 5 และเขต 6 มีการดำเนินการดังกล่าว และจากการหารือในแต่ละเขตมีการตั้งเป้าว่า จะต้องลดการรับผู้ป่วยโรคทั่วไป ซึ่งบางโรคไม่จำเป็นต้องแอดมิต หรือเข้ามารักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยโรงพยาบาลระดับสูงต้องลดลงประมาณ 15% โรงพยาบาลระดับสแตนดาร์ดลดลง 25% โรงพยาบาลขนาดเล็กแต่มีศักยภาพ คือ โรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก ลดลง 35% เป็นต้น
นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการสาธารณสุข (สบรส.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เขตบริการสุขภาพที่ 4 พบมีการวางแผนลดความแออัด โดยพัฒนาศูนย์สาธารณสุขมูลฐาน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) ขนาดใหญ่ และการผ่าตัดไส้ติ่งในโรงพยาบาลชุมชน คลินิก NCD มีการพัฒนาตามแผนโรค....ต่างๆ โดยเฉพาะการบริหารร่วมกันในผู้ป่วยมะเร็ง ระหว่าง รพ.มะเร็งลพบุรี และ รพ.ธัญบุรี ในประเด็นการรักษาบรรเทาและการส่งกลับไปพักรักษาในโรงพยาบาลในพื้นที่ภายหลังการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระดับสูง แต่ยังมีการส่งต่อนอกเขตในสัดส่วนที่สูงและการทบทวนการส่งต่อในจังหวัดให้มีการวิเคราะห์เพื่อการวางแผนพัฒนากลไกทางการเงินในการจัดบริการให้เหมาะสม
นพ.ธงชัย กล่าวอีกว่า ส่วนเขต 5 เป็นเรื่องการลดต้นทุนด้านยาและวัสดุการแพทย์ มีการวิเคราะห์และวางแผนที่เป็นระบบ ทำให้ลดต้นทุนได้ดี 2.7-6.3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ยังมีจำนวนแพทย์และแพทย์เฉพาะทางในบางสาขาในสัดส่วนที่สูง ควรวางแผนการจัดบริการในระดับโรงพยาบาลที่เป็นแกนนำในเครือข่ายและมีผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เขต 6 พบว่า ผู้บริหารเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่เป็นทีม ให้เขตพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น สรุปประเด็นประสิทธิภาพและคุณภาพได้ดีมาก บ่งชี้ประเด็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ที่จะนำไปสู่การวางแผนพัฒนาต่อไป เริ่มมีแผนการลดค่าใช้จ่ายด้านยาและวัสดุวิทยาศาสตร์ในภาพรวม ทั้งนี้ จะดำเนินการตรวจเยี่ยมเขตบริการสุขภาพอื่นให้ครบทั้ง 12 เขตภายใน ก.พ. 2557
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.กล่าวว่า ใน 3 พื้นที่จากการประเมินพบปัญหาเรื่องมาตรฐานการรักษาของโรงพยาบาลสังกัด สธ.กับของราชวิทยาลัย บางเรื่องไม่สามารถไปด้วยกันได้ ตนจึงจะประสานผ่าน นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ ผอ.รพ.สมุทรปราการ และเลขาธิการแพทยสภา เพื่อขอให้แพทยสภาหารือร่วมกับราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ รพ.สธ.ทำงานให้บริการประชาชนในบางเรื่องภายใต้การคุ้มครองของ สธ.เช่น การผ่าตัดโดยไม่มีวิสัญญีในบางโรงพยาบาล เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งไม่ทำการผ่าตัด เพราะไม่มีวิสัญญีแพทย์ตามมาตรฐานการรักษาของราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินการพัฒนาเขตบริการสุขภาพต้องเดินหน้าไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ
