ช่วงนี้มีการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่าระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2556 ทำให้อยากเขียนถึงประเด็นเรื่องการกีฬากับเด็กรุ่นใหม่ เพราะเด็กๆ ยุคนี้เติบโตขึ้นมากับโลกแห่งเทคโนโลยี โลกที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ในขณะที่พ่อแม่ยุคนี้ก็มีทัศนคติต่อการเลี้ยงดูลูกที่ไม่ต้องการให้ลูกลำบาก และมักจะตอบสนองทันทีเมื่อลูกต้องการสิ่งใด

ก่อนหน้านี้ มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยทั้งจากไทยและต่างชาติที่ออกมาเตือนเป็นระยะๆ ว่าเป็นห่วงเด็กรุ่นนี้ที่มีแนวโน้มไม่ได้เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายโดยเฉพาะกลางแจ้ง ทำให้พฤติกรรมของเด็กๆ เปลี่ยนไป มักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน อยู่กับบรรดาเครื่องมือเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งเป็นที่มาของการติดเกม ติดคอมพิวเตอร์ ติดสมาร์ทโฟน ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ ไม่เฉพาะแค่เด็กแล้วล่ะค่ะ กลายเป็นผู้ใหญ่ด้วยที่มีพฤติกรรมดังกล่าว จนกลายเป็นสังคมก้มหน้ากันไปหมด เรียกว่าก้มหน้าทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในที่สาธารณะ ในพื้นที่เสี่ยงก็ไม่เว้น จนถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุเพราะจมจ่อมอยู่กับเทคโนโลยี และไม่รู้ถึงภัยที่เกิดขึ้น ก็เป็นข่าวคราวโศกนาฏกรรมชนิดซ้ำซากก็บ่อยครั้งไป
ดิฉันยังจำเรื่องที่ Nike ศึกษาวิจัยเมื่อปีที่แล้ว ร่วมกับ The American College of Sports Medicine, The International Council of Science & Physical Education ว่า สาเหตุหลักของการเสียชีวิตของมนุษย์ เกิดจากการเสื่อมสมรรถนะทางร่างกาย และ 5 อันดับโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 6.2 หมื่นล้านคน ก็เป็นผลมาจากร่างกายที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยที่ในช่วง 10 ขวบแรกของชีวิต จะเป็นช่วงสร้างรากฐานความแข็งแรงให้แก่ร่างกายในช่วงต่อไปของชีวิต แต่ด้วยเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกในโลกยุคดิจิตอล ทำให้วัยเด็กตอนต้นมีกิจกรรมที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายน้อยลง เช่น การดูทีวี เล่นอินเตอร์เนต นอกจากนี้เด็กๆ ยุคใหม่ยังให้ความสนใจในกิจกรรมกีฬาน้อยลง โดยหันไปสนใจเกมหรือกีฬาที่อยู่ในรูปแบบของเกมคอมพิวเตอร์แทน
จากข้อมูลพบว่า เด็กวัย 9-15 ปี ในอเมริกามีกิจกรรมที่ใช้ร่างกายน้อยลงถึง 50-75% และเด็กกว่า 92% ในจีน ไม่มีกิจกรรมที่ใช้ร่างกายเลยเมื่ออยู่นอกโรงเรียน การศึกษาวิจัยยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบเมื่อเด็กมีกิจกรรมทางด้านร่างกายน้อยลง ทั้งการเรียน สังคม การดำรงชีวิต การเงิน ไปจนถึงอนาคตที่อาจมีผลถึงการเจ็บป่วย จึงทำให้เด็กในรุ่นนี้มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่ารุ่นพ่อแม่ถึง 5 ปี
ลองคิดภาพดูสิคะว่า “เด็กวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” แล้วหันกลับมามองดูลูกหลานของเราดูว่าเขาทำอะไรกัน เข้าข่ายงานสำรวจดังกล่าวหรือเปล่า และในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ช่วยสร้างสรรค์กิจกรรมเชิงบวกที่ทำให้พวกเขามีร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีหรือเปล่า หรือทำในทางตรงกันข้าม !
จริงอยู่ว่าสภาพแวดล้อมในบ้านเมืองเราไม่เอื้อให้เด็กและเยาวชนเล่นกีฬาเอาซะเลย แต่ถ้าพ่อแม่ปล่อยไปตามสภาพหรือตามยถากรรม ไม่ขวนขวายที่จะหาทางให้ลูกได้เล่นกีฬา หรือออกกำลังกายตั้งแต่เล็ก และปล่อยให้ลูกของเราโตไปในสภาพโลกเทคโนโลยีล้นบ้านแล้วล่ะก็ รับประกันว่างานสำรวจชิ้นที่ว่านี้ไม่ไกลเกินจริงค่ะ

แล้วพ่อแม่จะทำอะไรได้บ้าง ?
ประการแรก เริ่มจากพ่อแม่ต้องลุกขึ้นออกมาเล่นกีฬาเป็นแบบอย่าง ถือโอกาสปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปเลย ใช้ความรักที่มีต่อลูก ด้วยการทำเพื่อลูกแต่ตัวเองก็ได้ด้วย ชวนลูกไปออกกำลังกายนอกบ้าน ถ้าพื้นที่ไม่อำนวยก็ไปสวนสาธารณะ ถ้าเป็นเด็กเล็ก เด็กๆ ต้องการพื้นที่วิ่งเล่น หรือขี่จักรยาน เราก็ถือโอกาสไปปิกนิกกัน โดยดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก
ประการที่สอง ชักจูงลูกเล่นกีฬาให้ได้หนึ่งอย่าง ในที่นี้คือให้ลูกได้ลองเล่นกีฬาหลากหลายชนิด แต่ให้สังเกตว่าลูกถนัดกีฬาชนิดไหน หรือชอบเล่นกีฬาประเภทไหนมากเป็นพิเศษ และพ่อแม่ก็ส่งเสริมสนับสนุนกีฬาชนิดนั้น เพราะการให้เขาได้เล่นกีฬาที่เขาถนัดหรือชอบจะทำให้เขาเล่นติดตัวไปจนโต แต่ต้องเปิดโอกาสให้เขาสัมผัสกีฬาหลากชนิด เพราะแต่ละชนิดก็มีการฝึกทักษะที่แตกต่างกันในแต่ละด้าน
ประการที่สาม ต้องสม่ำเสมอ นี่เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ กำหนดให้เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัวทุกสัปดาห์ก็ได้ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ผู้ใหญ่มักจะปฏิบัติเมื่อมีเวลาเท่านั้น ทำให้เด็กๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญตามไปด้วย เพราะต้องขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าจะมีเวลาไหม แต่ถ้าพ่อแม่กำหนดว่าทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นเป็นต้นไป เด็กๆ ก็จะเรียนรู้เรื่องกฎกติกา การมีวินัย และได้ออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอด้วย เรื่องนี้อยู่ที่การให้ความสำคัญจริงๆ ค่ะ
ประการที่สี่ ต้องไม่ให้เรื่องเรียนมาเป็นอุปสรรค เพราะพ่อแม่ปัจจุบันมักมีทัศนคติที่ว่าเรื่องเรียนวิชาการสำคัญกว่า ช่วงนี้ใกล้สอบ งดออกกำลังกาย หรือให้หยุดเล่นกีฬาเพื่อดูหนังสือเรียน เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำยิ่งนัก แท้จริงแล้ว การเล่นกีฬาช่วยผ่อนคลายสมอง จากการอ่านหนังสือ เมื่อออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง สามารถเรียนรู้ได้ดีอีกต่างหาก
ประการสุดท้าย การออกกำลังกายที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก บางคนถึงกับต้องซื้อคอร์สแพงๆ ที่จริงแล้วการออกกำลังกายสามารถทำได้ทุกที่ แม้แต่ที่บ้าน การทำงานบ้าน การเดินขึ้นลงบันได การเดินรอบบริเวณบ้าน การรดน้ำต้นไม้ ฯลฯ ก็เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนึ่งเหมือนกัน
จริงๆ ประโยชน์ของการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกาย ผู้คนรู้ดีกันอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดอยู่อย่างเดียวคือการเอาชนะตัวเองด้วยการปฏิบัติจริง
แต่ประโยชน์ที่นอกเหนือจากร่างกายที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะเน้นก็คือสัมพันธภาพภายในครอบครัว กิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน การเล่นกีฬาร่วมกัน ทำให้เราได้พัฒนาทักษะชีวิตได้มากมายเหลือเกิน และได้พัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย
ความจริงเรื่องการสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่โลกแห่งกีฬาอย่างสร้างสรรค์ น่าจะเป็นเป้ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชนในยุคนี้ เพราะทุกวันนี้ มีสิ่งล่อตาล่อใจ รวมถึงแหล่งอบายมุขมากมายที่พร้อมจะล่อให้เด็กและเยาวชนตกเข้าไปในบ่วงมาร
ยังไม่นับรวมกับเรื่องยุทธศาสตร์ของชาติ ที่ดิฉันเชื่อมาโดยตลอดว่า การกีฬาช่วยพัฒนาชาติได้
เพียงแต่ในบ้านเรา เรื่องการกีฬาของชาติตกไปอยู่ในกลุ่มก้อนของนักการเมือง ที่ยังคงมองเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มิใช่ประโยชน์ของประเทศชาติอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้ มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยทั้งจากไทยและต่างชาติที่ออกมาเตือนเป็นระยะๆ ว่าเป็นห่วงเด็กรุ่นนี้ที่มีแนวโน้มไม่ได้เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายโดยเฉพาะกลางแจ้ง ทำให้พฤติกรรมของเด็กๆ เปลี่ยนไป มักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน อยู่กับบรรดาเครื่องมือเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งเป็นที่มาของการติดเกม ติดคอมพิวเตอร์ ติดสมาร์ทโฟน ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ ไม่เฉพาะแค่เด็กแล้วล่ะค่ะ กลายเป็นผู้ใหญ่ด้วยที่มีพฤติกรรมดังกล่าว จนกลายเป็นสังคมก้มหน้ากันไปหมด เรียกว่าก้มหน้าทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในที่สาธารณะ ในพื้นที่เสี่ยงก็ไม่เว้น จนถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุเพราะจมจ่อมอยู่กับเทคโนโลยี และไม่รู้ถึงภัยที่เกิดขึ้น ก็เป็นข่าวคราวโศกนาฏกรรมชนิดซ้ำซากก็บ่อยครั้งไป
ดิฉันยังจำเรื่องที่ Nike ศึกษาวิจัยเมื่อปีที่แล้ว ร่วมกับ The American College of Sports Medicine, The International Council of Science & Physical Education ว่า สาเหตุหลักของการเสียชีวิตของมนุษย์ เกิดจากการเสื่อมสมรรถนะทางร่างกาย และ 5 อันดับโรคที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 6.2 หมื่นล้านคน ก็เป็นผลมาจากร่างกายที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยที่ในช่วง 10 ขวบแรกของชีวิต จะเป็นช่วงสร้างรากฐานความแข็งแรงให้แก่ร่างกายในช่วงต่อไปของชีวิต แต่ด้วยเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกในโลกยุคดิจิตอล ทำให้วัยเด็กตอนต้นมีกิจกรรมที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายน้อยลง เช่น การดูทีวี เล่นอินเตอร์เนต นอกจากนี้เด็กๆ ยุคใหม่ยังให้ความสนใจในกิจกรรมกีฬาน้อยลง โดยหันไปสนใจเกมหรือกีฬาที่อยู่ในรูปแบบของเกมคอมพิวเตอร์แทน
จากข้อมูลพบว่า เด็กวัย 9-15 ปี ในอเมริกามีกิจกรรมที่ใช้ร่างกายน้อยลงถึง 50-75% และเด็กกว่า 92% ในจีน ไม่มีกิจกรรมที่ใช้ร่างกายเลยเมื่ออยู่นอกโรงเรียน การศึกษาวิจัยยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบเมื่อเด็กมีกิจกรรมทางด้านร่างกายน้อยลง ทั้งการเรียน สังคม การดำรงชีวิต การเงิน ไปจนถึงอนาคตที่อาจมีผลถึงการเจ็บป่วย จึงทำให้เด็กในรุ่นนี้มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่ารุ่นพ่อแม่ถึง 5 ปี
ลองคิดภาพดูสิคะว่า “เด็กวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” แล้วหันกลับมามองดูลูกหลานของเราดูว่าเขาทำอะไรกัน เข้าข่ายงานสำรวจดังกล่าวหรือเปล่า และในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ช่วยสร้างสรรค์กิจกรรมเชิงบวกที่ทำให้พวกเขามีร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีหรือเปล่า หรือทำในทางตรงกันข้าม !
จริงอยู่ว่าสภาพแวดล้อมในบ้านเมืองเราไม่เอื้อให้เด็กและเยาวชนเล่นกีฬาเอาซะเลย แต่ถ้าพ่อแม่ปล่อยไปตามสภาพหรือตามยถากรรม ไม่ขวนขวายที่จะหาทางให้ลูกได้เล่นกีฬา หรือออกกำลังกายตั้งแต่เล็ก และปล่อยให้ลูกของเราโตไปในสภาพโลกเทคโนโลยีล้นบ้านแล้วล่ะก็ รับประกันว่างานสำรวจชิ้นที่ว่านี้ไม่ไกลเกินจริงค่ะ
แล้วพ่อแม่จะทำอะไรได้บ้าง ?
ประการแรก เริ่มจากพ่อแม่ต้องลุกขึ้นออกมาเล่นกีฬาเป็นแบบอย่าง ถือโอกาสปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปเลย ใช้ความรักที่มีต่อลูก ด้วยการทำเพื่อลูกแต่ตัวเองก็ได้ด้วย ชวนลูกไปออกกำลังกายนอกบ้าน ถ้าพื้นที่ไม่อำนวยก็ไปสวนสาธารณะ ถ้าเป็นเด็กเล็ก เด็กๆ ต้องการพื้นที่วิ่งเล่น หรือขี่จักรยาน เราก็ถือโอกาสไปปิกนิกกัน โดยดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก
ประการที่สอง ชักจูงลูกเล่นกีฬาให้ได้หนึ่งอย่าง ในที่นี้คือให้ลูกได้ลองเล่นกีฬาหลากหลายชนิด แต่ให้สังเกตว่าลูกถนัดกีฬาชนิดไหน หรือชอบเล่นกีฬาประเภทไหนมากเป็นพิเศษ และพ่อแม่ก็ส่งเสริมสนับสนุนกีฬาชนิดนั้น เพราะการให้เขาได้เล่นกีฬาที่เขาถนัดหรือชอบจะทำให้เขาเล่นติดตัวไปจนโต แต่ต้องเปิดโอกาสให้เขาสัมผัสกีฬาหลากชนิด เพราะแต่ละชนิดก็มีการฝึกทักษะที่แตกต่างกันในแต่ละด้าน
ประการที่สาม ต้องสม่ำเสมอ นี่เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ กำหนดให้เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัวทุกสัปดาห์ก็ได้ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ผู้ใหญ่มักจะปฏิบัติเมื่อมีเวลาเท่านั้น ทำให้เด็กๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญตามไปด้วย เพราะต้องขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าจะมีเวลาไหม แต่ถ้าพ่อแม่กำหนดว่าทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นเป็นต้นไป เด็กๆ ก็จะเรียนรู้เรื่องกฎกติกา การมีวินัย และได้ออกกำลังกายแบบสม่ำเสมอด้วย เรื่องนี้อยู่ที่การให้ความสำคัญจริงๆ ค่ะ
ประการที่สี่ ต้องไม่ให้เรื่องเรียนมาเป็นอุปสรรค เพราะพ่อแม่ปัจจุบันมักมีทัศนคติที่ว่าเรื่องเรียนวิชาการสำคัญกว่า ช่วงนี้ใกล้สอบ งดออกกำลังกาย หรือให้หยุดเล่นกีฬาเพื่อดูหนังสือเรียน เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำยิ่งนัก แท้จริงแล้ว การเล่นกีฬาช่วยผ่อนคลายสมอง จากการอ่านหนังสือ เมื่อออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น สมองปลอดโปร่ง สามารถเรียนรู้ได้ดีอีกต่างหาก
ประการสุดท้าย การออกกำลังกายที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก บางคนถึงกับต้องซื้อคอร์สแพงๆ ที่จริงแล้วการออกกำลังกายสามารถทำได้ทุกที่ แม้แต่ที่บ้าน การทำงานบ้าน การเดินขึ้นลงบันได การเดินรอบบริเวณบ้าน การรดน้ำต้นไม้ ฯลฯ ก็เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนึ่งเหมือนกัน
จริงๆ ประโยชน์ของการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกาย ผู้คนรู้ดีกันอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดอยู่อย่างเดียวคือการเอาชนะตัวเองด้วยการปฏิบัติจริง
แต่ประโยชน์ที่นอกเหนือจากร่างกายที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะเน้นก็คือสัมพันธภาพภายในครอบครัว กิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน การเล่นกีฬาร่วมกัน ทำให้เราได้พัฒนาทักษะชีวิตได้มากมายเหลือเกิน และได้พัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย
ความจริงเรื่องการสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่โลกแห่งกีฬาอย่างสร้างสรรค์ น่าจะเป็นเป้ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชนในยุคนี้ เพราะทุกวันนี้ มีสิ่งล่อตาล่อใจ รวมถึงแหล่งอบายมุขมากมายที่พร้อมจะล่อให้เด็กและเยาวชนตกเข้าไปในบ่วงมาร
ยังไม่นับรวมกับเรื่องยุทธศาสตร์ของชาติ ที่ดิฉันเชื่อมาโดยตลอดว่า การกีฬาช่วยพัฒนาชาติได้
เพียงแต่ในบ้านเรา เรื่องการกีฬาของชาติตกไปอยู่ในกลุ่มก้อนของนักการเมือง ที่ยังคงมองเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มิใช่ประโยชน์ของประเทศชาติอย่างจริงจัง