“หมอประเวศ” เสนอทางออกประเทศ วอนม็อบต้านนิรโทษฯหันหน้าคุยรัฐบาล ก่อนพลิกผันจนเกิดมิกสัญญีกลียุค คนไทยฆ่ากันเอง ย้ำการเอาชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ชัยชนะของประเทศ ชี้ต้องทำให้ประเทศเกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาล
วันนี้ (12 พ.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวถึงการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ภายหลังปาฐกถาในเวทีสุขภาพชุมชน “การเรียนรู้สู่การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนที่ยั่งยืน” ว่า สิ่งที่ได้รับจากการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คือ การเรียนรู้ ทำให้ฉลาดขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น โดยฝ่ายรัฐบาลก็ได้บทเรียนที่ว่า การเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมาก ทั้งการเงิน การสื่อสาร รวมถึงมวลชน แต่หากถลำตัวไปก็อาจผิดพลาดจนเกิดการต่อต้านเช่นนี้ได้ คือ แม้จะมีเสียงข้างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำตามใจได้เสมอไป ส่วนประชาชนก็ได้เรียนรู้ว่า ความเข้มแข็งทางสังคมเป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตของประเทศ
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า การที่คนมาชุมนุมมากก็จะเกิดความฮึกเหิม แต่หากเกินเลยไปก็เหมือนฝ่ายรัฐบาล ที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ ต้องพิจารณาว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือไม่ สิ่งสำคัญต้องมาคุยกันและตกลงกัน โดย 1.เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว จะต้องไม่มีการเดินหน้าอีก 2.ต้องหารือกันว่าจะร่วมกันสร้างพลังพลเมืองให้เต็มประเทศ ให้ประเทศดีขึ้น ไม่ใช่อยู่หรือไป ปะทะกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ 3.รัฐบาลจะต้องป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และยอมให้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเข้ามาตรวจสอบ และ 4.สิ่งที่เป็นความสำคัญของบ้านเมืองต้องปรึกษากับฝ่ายค้าน ฝ่ายประชาสังคม ฝ่ายวิชาการ และร่วมกันดำเนินการ หากทำได้จะส่งผลให้ประเทศพัฒนา
“ขณะนี้เป็นจุดพลิกผันอาจนำไปสู่มิกสัญญีกลียุคที่คนไทยปะทะกัน ล้มตายเป็นเบือ หรือพลิกผันไป โดยเกิดได้คิดและร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีความไม่เป็นธรรมโดยพื้นฐานมานาน นานกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าสู่การเมืองเสียอีก ดังนั้น อย่าไปคิดสั้นๆ เพราะความไม่เป็นธรรมอยู่ในจิตสำนึก อยู่ในโครงสร้างต่างๆ ทั้งการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โครงสร้างความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม โครงการการจัดสรรการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่แต่ละฝ่ายมีกำลังมวลชนเป็นของตัวเอง และประกาศว่าหากไม่ชนะจะไม่เลิกนั้น ก็จำเป็นต้องปรับสิ่งที่เรียกว่าชนะ เป็นการชนะของคนไทยร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ต้องทำให้ประเทศไทยเกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาล เพราะรัฐบาลเปลี่ยนมาเยอะแล้ว แต่ประเทศไม่เคยเปลี่ยน จึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนไทย มิฉะนั้น ก็จะทะเลาะกันไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ทางออกแต่ละฝ่ายจึงควรคุยกันเพื่อนำไปสู่ทางออก ส่วนการชุมนุมจะยุติหรือไม่ คงบอกไม่ได้ แต่ควรหันมาคุยกันดีกว่า
วันนี้ (12 พ.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวถึงการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ภายหลังปาฐกถาในเวทีสุขภาพชุมชน “การเรียนรู้สู่การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนที่ยั่งยืน” ว่า สิ่งที่ได้รับจากการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คือ การเรียนรู้ ทำให้ฉลาดขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น โดยฝ่ายรัฐบาลก็ได้บทเรียนที่ว่า การเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมาก ทั้งการเงิน การสื่อสาร รวมถึงมวลชน แต่หากถลำตัวไปก็อาจผิดพลาดจนเกิดการต่อต้านเช่นนี้ได้ คือ แม้จะมีเสียงข้างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำตามใจได้เสมอไป ส่วนประชาชนก็ได้เรียนรู้ว่า ความเข้มแข็งทางสังคมเป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตของประเทศ
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า การที่คนมาชุมนุมมากก็จะเกิดความฮึกเหิม แต่หากเกินเลยไปก็เหมือนฝ่ายรัฐบาล ที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ ต้องพิจารณาว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือไม่ สิ่งสำคัญต้องมาคุยกันและตกลงกัน โดย 1.เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว จะต้องไม่มีการเดินหน้าอีก 2.ต้องหารือกันว่าจะร่วมกันสร้างพลังพลเมืองให้เต็มประเทศ ให้ประเทศดีขึ้น ไม่ใช่อยู่หรือไป ปะทะกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ 3.รัฐบาลจะต้องป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และยอมให้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเข้ามาตรวจสอบ และ 4.สิ่งที่เป็นความสำคัญของบ้านเมืองต้องปรึกษากับฝ่ายค้าน ฝ่ายประชาสังคม ฝ่ายวิชาการ และร่วมกันดำเนินการ หากทำได้จะส่งผลให้ประเทศพัฒนา
“ขณะนี้เป็นจุดพลิกผันอาจนำไปสู่มิกสัญญีกลียุคที่คนไทยปะทะกัน ล้มตายเป็นเบือ หรือพลิกผันไป โดยเกิดได้คิดและร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีความไม่เป็นธรรมโดยพื้นฐานมานาน นานกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าสู่การเมืองเสียอีก ดังนั้น อย่าไปคิดสั้นๆ เพราะความไม่เป็นธรรมอยู่ในจิตสำนึก อยู่ในโครงสร้างต่างๆ ทั้งการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ โครงสร้างความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม โครงการการจัดสรรการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า ส่วนการที่แต่ละฝ่ายมีกำลังมวลชนเป็นของตัวเอง และประกาศว่าหากไม่ชนะจะไม่เลิกนั้น ก็จำเป็นต้องปรับสิ่งที่เรียกว่าชนะ เป็นการชนะของคนไทยร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ต้องทำให้ประเทศไทยเกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาล เพราะรัฐบาลเปลี่ยนมาเยอะแล้ว แต่ประเทศไม่เคยเปลี่ยน จึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนไทย มิฉะนั้น ก็จะทะเลาะกันไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ทางออกแต่ละฝ่ายจึงควรคุยกันเพื่อนำไปสู่ทางออก ส่วนการชุมนุมจะยุติหรือไม่ คงบอกไม่ได้ แต่ควรหันมาคุยกันดีกว่า